คุมส่งออกวัคซีนแอสตร้าฯ “ประยุทธ์”ต้องกล้าหักสัญญา
เพราะเลือกใช้แนวทางจัดหาวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบ “แทงม้าตัวเดียว” เอาชีวิตและความปลอดภัยของคนทั้งประเทศไปฝากไว้กับ “วัคซีนแอสตร้าเซนเนกา” เป็นยี่ห้อหลัก แถมยังมั่นอกมั่นใจว่าผลิตโดยโรงงานบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่รัฐบาลอุดหนุนเงินทุนให้ถึง 600 ล้านบาท แต่ทำไปทำมาวัคซีนหลักที่รัฐบาลเชียร์ออกนอกหน้ามากว่าครึ่งปี นอกจากจะส่งมอบช้าตั้งแต่ล็อตแรกแล้ว ยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาเดือนละ 10 ล้านโดส
วัคซีนที่รัฐบาลทำสัญญาซื้อกับบริษัทแอสตร้าเซนเนกาในปี2564 นั้นมีจำนวนรวม 61 ล้านโดส กำหนดส่งมอบเดือนมิถุนายน 6 ล้านโดส เดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายนเดือนละ 10 ล้านโดส เดือนธันวาคม 5 ล้านโดส แต่ในยามที่ประเทศไทยต้องการวัคซีนจำนวนมากมาฉีดเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดเชื้อโควิด ทางบริษัทแอสตร้าเซนเนกาแจ้งว่าสามารถส่งมอบวัคซีนให้ในเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไปเพียงสัปดาห์ละ 1 ล้านโดส หรือเดือนละ 4 ล้านโดสเท่านั้น
จากเดือนละ 10 ล้านโดส เหลือแค่ 4 ล้านโดส จากที่ประกาศจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนวันละ 5 แสนโดสเพื่อทำเป้า 50 ล้านคนในปลายปี รัฐบาลเลยต้องกลับลำวิ่งหาแทงม้าอีกหลายตัว โดยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีรีบสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคจากจีนมาเพิ่มเติมเป็นการด่วนจำนวน 10.9 ล้านโดส ในวงเงิน 6,111.412 ล้านบาท พร้อมเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 20 ล้านโดสเป็นวัคซีนหลักที่จะฉีดให้กับประชาชนฟรีอีก 1 ยี่ห้อ
ขณะเดียวกันเพื่อลดแรงกดดันทางสังคมที่ส่งเสียงก่นด่าดังขึ้นเรื่อยๆว่ารัฐบาลล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีน คณะรัฐมนตรีจึงได้เห็นชอบสัญญาจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นาเพื่อเป็น “วัคซีนทางเลือก” โดยให้องค์การเภสัชกรรมนำเข้ามาขายต่อโรงพยาบาลเอกชนเพื่อให้เอามาขายเอากำไรจากประชาชนที่ไม่ประสงค์จะฉีดวัคซีนที่รัฐบาลจัดหา
ดูการทำงานดูการแก้ปัญหาของรัฐบาลยามนี้แล้วต้องบอกว่า “วังเวง” เพราะถามว่านอกจากวัคซีนซิโนแวคของจีนที่หากไม่หลงกระแสดราม่าข้อโจมตีเรื่องประสิทธิภาพต่ำในการสร้างภูมิคุ้มกัน หรือเรื่องบริษัทผู้ผลิตมีเอี่ยวกับเจ้าสัวตระกูลใหญ่บริษัทยักษ์ที่เข้าไปถือหุ้น แถมผู้บริหารระดับสูงสองฝ่ายยังมีสายสัมพันธุ์ทางครอบครัวแล้ว การมีวัคซีนซิโนแวคใช้อย่างไม่ขาดมือยังดีกว่าไม่มีอะไรในมือ เพราะวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส กับโมเดอร์นา 5 ล้านโดส จะนำเข้าได้ในช่วงไตรมาส 4 ถึงตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าเชื้อโควิด-19 จะระบาดไปขนาดไหน คนที่รอคิวฉีดจะติดเชื้อและตายไปก่อนหรือไม่
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ที่บรรดาผู้ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) บอกว่าจะเริ่มนับ 1 ของ 120 วันในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ไล่มาแต่ละวันพบว่ายอดผู้ติดเชื้อกับยอดผู้เสียชีวิตทำสถิติใหม่มาตลอด จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2564 ปรากฎยอดผู้ติดเชื้อใหม่ 7,058 คน ยอดผู้เสียชีวิต 75 คน กลายเป็นสัญญาณอันตรายที่แจ้งให้รับรู้ว่าขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู้การระบาดระลอก 4 อย่างชัดเจนแล้ว
หากรัฐบาลยังแก้ปัญหาแบบรายวันเหมือนวิ่งปะผุรอยรั่วของเรือที่กำลังจะจมน้ำโดยไม่ดูปริมาณน้ำที่กำลังจะท่วมกราบเรือ สุดท้ายกัปตันและลิ่วล้อคงจะโดดลงเรือชูชีพ ถีบเรือหนีแล้วปล่อยให้ผู้โดยสารหาทางเอาชีวิตรอดเอง
ความเจ็บป่วยและล้มตายในวันนี้ของคนไทยที่จำทนอยู่กับผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์ที่ห้อมล้อมด้วยนักการเมืองที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนมา 7 ปี ยิ่งทวีความเจ็บปวดเมื่อเห็นดาราเด่น คนดัง อวดรวยด้วยภาพบินไปฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ที่ต่างประเทศ หรือเจ็บช้ำในใจลงไปอีกกับข่าวส.ส.และส.ว. ที่กินเงินเดือนหลักแสนแต่ไม่เข้าประชุมสภาจนสภาล่ม มิหนำซ้ำยังอ้างเหตุผลไม่เข้าประชุมว่ากลัวติดโควิด-19 ทั้งๆที่ฉีดวัคซีนก่อนชาวบ้านแล้วคนละ 2 เข็ม แล้วยังจะขอเข็มที่ 3 แบบบุคลาการทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ด่านหน้า
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศบค.ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 2 เดือนนี้ ประมาณ 96 ประเทศทั่วโลกมีการระบาดของไวรัสโควิด 19 กลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) อย่างมาก คาดว่าในอีก 1-2 เดือนนี้ ทั้งไทยและโลกส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะเป็นสายพันธุ์เดลต้า เพราะกระจายเร็วมาก การกระจายของเชื้อเกิดจากการเคลื่อนที่ของคน เชื้อโรคไปเองไม่ได้ จึงไม่อยากให้มีการเคลื่อนย้าย อยู่กับบ้าน Work From Home ต้องได้ 75% แต่ตอนนี้ยังทำได้ไม่ถึง 50% พบว่ายังมีการเดินทางออกต่างจังหวัด ถ้ายังทำไม่ได้ คิดว่าต้องยกระดับมาตรการต้องล็อกดาวน์เหมือนเดือนเมษายน ปี2563 ยกระดับสูงสุด
“สภาเภสัชกรรม” ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาการระบาดและการตายจากโควิดด้วยนโยบายที่ชัดเจนใน 2 ประเด็น คือเร่งรัดกระจายวัคซีนที่มีอยู่ไปยังกลุ่มผู้สูงอายุ และ 7 กลุ่มโรคเสี่ยงสูง แทนการกระจายฉีดมั่วไปทุกกลุ่มหรือเปิดการท่องเที่ยวโดยหวังผลทางเศรษฐกิจและการคุ้มกันหมู่ ซึ่งต้องใช้เวลานานจนทำให้อัตราตายสูงจนระบบบริการสาธารณสุขใกล้ล่มอย่างทุกวันนี้
ประเด็นสำคัญคือการเร่งรัดจัดหาวัคซีนโดยอาศัยพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ และความกล้าหาญทางนโยบายในการตัดสินใจบังคับใช้มาตรา 4 ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และตามมาตรา 18 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีอำนาจประกาศกำหนดเรื่องหนึ่งเรื่องใด ซึ่งมาตรา 18(2) ระบุ “สัดส่วนการส่งออกวัคซีนไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องเหมาะสมกับสัดส่วนการใช้วัคซีนภายในประเทศ”
สรุปข้อเรียกร้องของสภาเภสัชกรรมคือ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ออกระเบียบการส่งออกของโรงงานผลิตวัคซีน โดยให้แอสตร้าเซนเนก้า สยามไบโอไซส์ ลดสัดส่วนการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ให้เหมาะสมกับสัดส่วนการใช้วัคซีนภายในประเทศ ในการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้
ย้อนกลับไปดูข้ออ้างของแอสตร้าเซนเนกาที่ส่งมอบวัคซีนแก่รัฐบาลไทยได้ต่ำกว่าสัญญานั้นด้วยเหตุผลว่า เพราะสยามไบโอไซเอนซ์มีกำลังผลิตแค่เดือนละ 16 ล้านโดส ซึ่งเมื่อเปิดข้อมูลเดิมในปี 2563 ก็ไม่ได้ผิดปกติอะไรเพราะบริษัทแอสตร้าเซนเนกาบอกไว้เองว่า โรงงานผลิตวัคซีนของสยามไบโอไซเอนซ์มีกำลังการผลิต 200 ล้านโดส/ปี นับเป็น 1 ใน 24 ศูนย์ผลิตวัคซีนทั่วโลก จะเป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนแก่ภูมิภาคอาเซียน
ข้อเสนอของสภาเภสัชกรรมหรือก่อนหน้านี้นักการเมืองฝ่ายค้านบางคนก็เคยเสนอมาแล้วว่ารัฐบาลต้องคุมการส่งออกวัคซีนถึงจะจัดการปัญหาเรื่องวัคซีนไม่พอได้ และมิใช่เรื่องใหม่ที่หลายประเทศเคยทำเพื่อรักษาชีวิตของคนในประเทศตนในยามวิกฤติ เช่น เมื่อโจ ไบเดน ก้าวขึ้นนั่งเก้าอีกประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา กำหนดภารกิจแรกคือบริหารจัดการเรื่องวัคซีน คุมการส่งออกเพื่อให้พอใช้ในประเทศก่อนจนตอนนี้มีเหลือและจะหมดอายุหลายล้านโดสจึงได้ประกาศจะบริจาคแก่นานาประเทศที่ยังขาดแคลนรวมทั้งไทย
บริษัท แอสตร้าเซนเนกา มีปัญหาในการส่งมอบวัคซีนแก่นานาประเทศล่าช้ากว่าสัญญามาตั้งแต่ต้นปี จนหลายประเทศใช้มาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีน อาทิ สหภาพยุโรป (EU) ได้ควบคุมการส่งออกวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาที่ผลิตในสหภาพยุโรป ด้วยเหตุผล“การปกป้องและความปลอดภัยของพลเมืองเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก”
อิตาลีหนึ่งในชาติสมาชิก EU ได้ออกคำสั่งสั่งห้ามส่งออกวัคซีนแอสตร้าเซเนกาจำนวน 250,000 โดสไปยังออสเตรเลียเมื่อต้นเดือนมีนาคมด้วยเหตุผลว่า ปริมาณวัคซีนที่แอสตราเซเนกาจะส่งออกไปยังออสเตรเลียนั้นมากกว่าจำนวนที่อิตาลีและสหภาพยุโรปสมควรจะได้รับ ขณะเดียวกันออสเตรเลียก็ไม่ใช่ประเทศที่มีความต้องการวัคซีนอย่างเร่งด่วน
หรืออย่างอินเดียที่เผชิญวิกฤติร้ายแรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ได้มีคำสั่งระงับการส่งออกวัคซีนต้านโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นการชั่วคราว เนื่องจากคาดว่าความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นมากทำให้วัคซีนที่ผลิตขึ้นในอินเดียมีความจำเป็นต้องนำมาใช้ภายในประเทศอินเดียก่อน
ล่าสุดยังไม่มีเสียงขานรับจากกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล มีเพียงระดับปลัดกระทรวงสาธารณสุข เสนอมาตรการควบคุมการระบาดที่พูดแบบวนลูบ เช่นคนป่วยอาการน้อยให้กักตัวเองบ้านเพื่อช่วยลดปัญหาเตียงไม่พอ หรือการยกระดับล็อคดาวน์ควบคุมการเดินทางระหว่างพื้นที่ ส่วนเรื่องวัคซีนก็แค่เร่งฉีดให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ที่เป็น 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ยังไม่เห็นความกล้าจะเล่นไม่แข็งกับแอสตร้าเซนเนกาแต่ประการใด
นอกจากผู้นำรัฐบาลไทยจะไม่กล้าแล้ว ยังอาจมีอะไรบังตาหรือเปล่า