ขาดดุลการค้าจีน 1.3 ล้านล้าน รัฐบาลไทยไร้มาตรการแก้ไข
การหลั่งไหลของทุนจีนที่เข้ามาลงหลักปักฐานในไทยเริ่มเห็นชัดเจนเมื่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้การตอบรับรถEV (Electric Vehicle)จากจีนที่มีเทคโนโลยีทันสมัย รูปทรงถูกใจและราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับค่ายยุโรป อเมริกาหรือญี่ปุ่น เฉกเช่นเดียวกับสินค้าจีนอีกนับพันนับหมื่นรายการที่ถูกนำเข้ามาจำหน่ายแก่ผู้บริโภคชาวไทยในคุณภาพที่รับได้กับสนนราคาที่ไม่อาจปฏิเสธ
ทุนจำนวนมหาศาลที่อวดอ้างตัวเลขว่าสูงนับพันนับหมื่นล้านบาทที่จะขนเข้ามาลงในไทยในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว ย่อมเป็นที่ต้องการเพื่อให้เกิดการจ้างงานและการผลิต เช่นเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มจะหวนกลับมาหลายล้านคนพร้อมเม็ดเงินที่คาดหวังหลายแสนล้านบาท คือเหตุผลที่ต้องเสนอเงื่อนไขเชื้อเชิญให้เข้ามาลงทุนให้เข้ามาเที่ยวไทย
อย่างไรก็ตามกับสถานการณ์ที่สินค้าจีนกำลังทะลักทลายเข้ามาท่วมตลาดไทยเหมือน “เขื่อนแตก” เมื่อเทียบกับสินค้าไทยที่ส่งไปจีนอย่างยากลำบากด้วยเงื่อนไขและปัจจัยต่างๆ จนล่าสุดในปี 2566 ประเทศไทยต้องเสียดุลการค้าแก่จีนสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท ส่วนในปี 2567 แนวโน้มการขาดดุลก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 1.4 ล้านล้านบาท โดยมีแต่เสียงของผู้ประกอบการไทยที่แสดงความกังวลกับผลกระทบที่จะรุนแรงขึ้น ในขณะที่ฝ่ายราชการและรัฐบาลยังไม่แสดงความอนาทรร้อนใจหรือตื่นตัวว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ต้องเร่งแก้ไขแต่อย่างใด
ในประเด็นดังกล่าว สมาคมสื่อมวลชนไทย – จีน ร่วมกับ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ได้จัดการเสวนาเรื่อง “ไทยขาดดุลการค้าจีนล้านล้านบาท แก้อย่างไรให้เห็นผล” เมื่อช่วงบ่ายวันพุธที่ 24 เมษายน 2567 ณ ห้องประชุมสำนักงานคณบดี คณะวิทยาการจัดการ อาคารเฉลิมพระเกียรติ มรภ.พระนคร ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมศึกษาถึงประเด็นปัญหาดุลการค้าไทย-จีน ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมาถึงจุดที่ผู้รับผิดชอบควรใส่ใจดูแลแก้ไขอย่างใกล้ชิด โดยต้องการร่วมแสวงหาข้อเสนอแนะต่อภาครัฐบาลเพื่อเร่งหาทางแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
การเสวนาครั้งนี้ ผศ.ดร.จุฑาทิพย์ พหลภาคย์ คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มรภ.พระนคร เป็นผู้กล่าวเปิดการเสวนา โดยมีวิทยากรที่ให้เกียรติเข้าร่วมประกอบด้วย นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน และรองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผศ.กัลยา นาคลังกา ประธานหลักสูตรเศรษฐศาสตร์ และนายอนพัทย์ พัฒนวงศ์วรัณ อาจารย์หลักสูตรเศรษฐศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มรภ.พระนคร ดำเนินรายการโดย นายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ นายกสมาคมสื่อมวลชนไทย-จีน
นายณรงค์ศักดิ์ ให้ข้อมูลว่า ในปี 2566 คู่ค้าสำคัญของไทย 5 อันแรกคือ จีน มูลค่าการค้า 104,965 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สหรัฐอเมริกา มูลค่า 68,358 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มูลค่า 55,861 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มาเลเซีย 25,118 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไต้หวัน มูลค่า 21,401 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้ารายเดียวคือสหรัฐฯ 29,371 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อีก 4 รายขาดดุล คือจีน 36,636 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท) ญี่ปุ่น 6,522 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไต้หวัน 11,808 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ มาเลเซีย 1,369 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
โครงสร้างสินค้าส่งออกของไทยไปจีนในปี 2566 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม 59.35% สินค้าเกษตรกรรม 32.96 % สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สัดส่วน 5.96% สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 1.74% ส่วนโครงสร้างสินค้านำเข้าจากประเทศจีน ส่วนใหญ่ 37.42% เป็นสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 34.20% เป็นสินค้าทุน 18.95% เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค 6.69% เป็นยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 2.30%เป็น อาวุธยุทธปัจจัย และ0.45% เป็นสินค้าเชื้อเพลิง
นายณรงค์ศักดิ์ มีความเห็นว่า การแก้ปัญหาการค้าไทย-จีนด้วยการดึงนักธุรกิจจีนมาร่วมธุรกิจการค้าในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายในสัดส่วน ไทย 51 : จีน 49 จะดีที่สุด มีข้อดีหลายด้าน เพราะได้เงินลงทุนจากฝ่ายจีน ได้ขยายตลาดจีน ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีทันสมัยจากจีน
นายปารเมศ กล่าวว่า สินค้าจีนราคาถูกแต่คุณภาพดีขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่เป็นสินค้าก๊อปปี้ลอกเลียนแบบ เดี๋ยวนี้มีแบรนด์ของตนเอง มีตั้งแต่เกรดธรรมดาจนถึง A+ ขณะนี้สินค้าจีนเข้ามาตีตลาดไทยมากและมีผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีชาวบ้านก็เลือกใช้สินค้าราคาถูก
ในสภามองการขาดดุลการค้าว่าน่าเป็นห่วง โดยไทยตำหนิจีนไม่ได้ ต้องหันกลับมาดูตัวเอง ทำอย่างไรจึงจะให้ SME ไทยมีการพัฒนาสินค้า สร้างนวัตกรรม ได้ค่าแรง คำตอบคือต้อง Upskill (การพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะที่มีอยู่ให้ดีกว่าเดิม) Reskill (การสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงาน) ต้องสร้างหรือผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ ต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี อย่างจีนบังคับต่างชาติที่เข้าไปลงทุนว่าต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างน้อย 50% ซึ่งไทยยังช้าในเรื่องนี้แม้จะมีบทเรียน ไทยต้องมองอนาคตในระยะยาว
การร่วมลงทุนด้วยการจดทะเบียนบริษัทนั้นพบว่าเป็น “นอมินี” มากมาย ไทยยังขาดหน่วยงานในการตรวจสอบ ต้องเอาเทคโนโลยีมาใช้ ต้องมีระบบการตรวจสอบที่โปร่งใส กรมพัฒนาธุรกิจการค้าแค่รับจดทะเบียนบริษัท แต่พบว่ามี 2 คนไทยร่วมถือหุ้นในเกือบ 300 บริษัท และที่ยังตรวจไม่พบอีกมากมาย
คนไทยอยากเปิดร้านในเถาเป่า (Taobao แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ของจีน) ยากมาก แต่ต่างชาติเปิดในไทยง่ายมาก เป็นผลกระทบรุนแรง ต้องมีมาตรการปกป้องช่วยเหลือSMEไทย ที่เข้มแข็ง รัดกุม เอาจริงเอาจังเรื่องการยืนยันตัวตนตอนจดทะเบียนพาณิชย์ สินค้าจากต่างประเทศไม่ต้องมีมอก. รวมทั้งของกินจากจีนที่วางขายกลางเยาวราช แต่สินค้าไทยกลับต้องขออนุญาตมากมาย หลายหน่วยงานต้องทำงานแบบบูรณาการไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
ผศ.กัลยา กล่าวว่าการค้าไทย-จีน เกิดการขาดดุลมากอาจจะเพราะรัฐบาลไม่วางนโยบายรองรับให้ดีเมื่อปล่อยให้เกิดการค้าเสรี ตัวเกษตรกรไทย หรือองค์กรท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อมรับมือกับรูปแบบการค้าจากจีน มองด้านเกษตรเช่นชาวสวนลำไยเคยมีความหวังมากต่อการส่งผลผลิตสู่ผู้บริโภคจีน จึงมีการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มผลผลิต แต่มีล้งจีนเข้ามากำหนดราคาแทนล้งไทยในท้องถิ่นที่ทุนน้อยกว่า สู้ชาวจีนไม่ได้ สุดท้ายล้งจีนเป็นผู้กำหนดราคา
หรือสินค้าเกษตรไทยส่งออกมากแต่เป็นการขายผ่านคนจีน จะเห็นว่าผลไม้ไทยอย่างทุเรียนคนจีนไลฟ์สด ซื้อถูกขายแพงเอาไปเพิ่มมูลค่าได้ ขณะที่เกษตรกรไทยพัฒนาด้านนี้ไปอย่างช้ามาก ดังนั้นเกษตรกรไทยหรือ SME ไทยต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ของคนไทยเพื่อคนไทยให้สามารถสู้กับต่างประเทศ
นายจิรบูลย์ การเจรจาปัญหาการค้าระหว่างประเทศเป็นหน้าที่ของข้าราชการที่ไม่ได้ค้าขายคุยกันในห้อง ส่วนพ่อค้านั่งรอนอกห้องประชุม
การขาดดุลจีนนั้นไทยสูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอาเซียน ประเทศอื่นมีการตั้งรับและแก้ไขปัญหา บางประเทศมีการสร้างเงื่อนไขโดยไม่ละเมิดกฎองค์การการค้าโลก WTO เป็นการสร้างกำแพงโดยไม่ผิดกฎหมาย อาทิกลุ่มมุสลิมเอาศาสนาเป็นข้ออ้าง อินโดนีเซียมีมาตรการปกป้องเกษตรกร เช่น ฤดูที่ผลผลิตออกห้ามนำเข้าไปขาย และรัฐบาลอินโดนีเซียไม่ส่งเสริมการค้าออนไลน์
ปี 2562 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 40 ล้านคน ปี 2567 ตั้งเป้า 35 ล้านคน น่าจะใกล้เคียงเป้าหมาย เฉพาะจีนในช่วง 1 มกราคม -16 เมษายน 2567 เข้ามาแล้ว 2 ล้านคน ใกล้เคียงเป้าหมาย 8 ล้านคน หวังว่าทัวร์ศูนย์เหรียญจะไม่กลับมาเพราะคนไทยไม่ได้ประโยชน์เลย อย่างไรก็ตามรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่คาดหมายไว้หลายแสนล้านบาทก็ไม่อาจเอามาหักตัวเลขการขาดดุลการค้าเพราะเป็นคนละบัญชี
“ถึงเวลาที่ต้องเปิดศักราช Business Matching ร่วมทุนจากธุรกิจไทย 51 จีน 49 อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 14 ของจีนเน้นเรื่องพลังงานสะอาด จีนมีโอกาสย้ายฐานมาไทยสูงมาก เราจะรับมืออย่างไร ระวังสินค้าจีนจะมาเปลี่ยนกล่องว่าผลิตในไทยแล้วส่งขายต่างประเทศ” นายจิรบูลย์ กล่าว