ครม.เศรษฐาปรับแล้วป่วน สะท้อนความเสื่อม“นายใหญ่”
วันที่ 28 เมษายน 2567 หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ รายชื่อที่ออกมาตรงตามโผที่ปรากฏก่อนหน้าซึ่งไม่น่าจะมีอะไรเพราะเป็นการปรับเล็ก แต่ที่ไหนได้กลับเกิดอาการ “แผ่นดินไหว”ที่ทำเอาพรรคเพื่อไทยกระเพื่อมเมื่อ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ร่อนหนังสือลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในทันที พร้อมๆกับปฏิกริยาสะท้อนกลับทั้งจากในพรรคและสังคมภายนอก
การปรับครั้งนี้พรรคเพื่อไทยถอดนายไชยา พรหมมา จากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยไม่ส่งใครไปแทน เท่ากับทิ้งกระทรวงเกษตรฯให้พรรคพลังประชารัฐกินรวบภายใต้การดูแลของ “พี่แป้ง”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เจ้ากระทรวงคนเดียว
ขณะเดียวกันก็ลดความสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศ เพราะโยก นายจักรพงษ์ แสงมณี จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีรมต.ประจำสำนักนายกฯถึง 3 คน อีกทั้งยังถอดตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีจากนายปานปรีย์
คนที่ไม่น่าโดนเด้งแต่โดนจริงตามข่าวลือคือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คนที่คอยอุ้มชูอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร และผลักดันนายเศรษฐา ทวีสิน ทุกพื้นที่ตลอดการหาเสียง คนที่ยอมเล่นละครกอดคอพรรคก้าวไกลแล้วตลบหลังจนโดนด่าทั้งแผ่นดิน คนที่ยอมตระบัดสัตย์มีเราไม่มีลุง ยอมเสียภาพ “คนดีศรีสภา”เพื่อให้พรรคไทยรักไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้เศรษฐาได้เป็นนายกรัฐมนตรี สุดท้ายยอมฮาราคีรีตัวเองดันให้อุ๊งอิ๊งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
แม้นพ.ชลน่านจะได้รับการปูนบำเหน็จให้นั่งเก้าอี้รมว.สาธารณสุข แต่อยู่ได้แค่ 7 เดือนแล้วถูกเด้งออกให้ขาใหญ่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มานั่งแทน ซึ่งในหลักบริหารน่าจะเรียกว่า “ผิดฝาผิดตัว” เป็นข้อพิสูจน์ความเหี้ยมของผู้นำตัวจริงของพรรคเพื่อไทยว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าหมอ”
วันนี้หมอชลน่านต้องกลืนเลือด เก็บตัวไม่พูด เพราะรู้อยู่ว่าวันหนึ่งต้องเป็นแบบนี้ และในฐานะนักการเมืองอาชีพจำเป็นต้องยอมรับสภาพเพื่อรอโอกาสครั้งต่อไป
เชื่อว่าหมอชลน่านน่าจะรู้ตัวล่วงหน้าเพราะเคยระบายกับข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขว่า เคยถูกนายกฯเศรษฐาคาดโทษเอาไว้ก่อนหน้าแล้วว่า “เอาข้าราชการไม่อยู่”
สิ่งที่สะท้อนความรู้สึกของหมอชลน่านมีแค่เพจหมอชลน่านFcไม่มีดราม่า ที่เอาภาพหมอชลน่านโดนตีนเหยียบหน้า พร้อมคำกลอนมาลงให้ตีความหมายกันเล่นๆ
ในขณะที่คนส่วนหนึ่งเห็นใจแต่พวกเชลียร์นายใหญ่บอกว่าก็สมควรเปลี่ยน เพราะหมอชลน่านสร้างแผลใหญ่ให้พรรคเพื่อไทยด้วยนโยบาย “ยาบ้า5เม็ด” เป็นผู้ป่วยไม่ต้องติดคุก ก่อให้เกิดช่องว่างทางกฎหมาย ทำให้ยาบ้ายิ่งระบาด ทำให้พรรคเพื่อไทยถูกสังคมก่นด่าถึงทุกวันนี้
สำหรับกรณีนายปานปรีย์ หลานเขยน้าชาติ(พล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 17) ที่ไม่ใช่นักเลือกตั้ง เป็นผู้ดีมีตระกูล มีเกียรติและศักดิ์ศรี มีเงิน ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมิใช่แสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเอง การลาออกอย่างกระทันหันนี้สะท้อนถึงการมิอาจยอมรับในการปรับครม.ครั้งนี้ที่แม้จะยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่การที่หมวกรองนายกฯที่ถูกดึงออกไปสวมให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนั้น มิใช่ความหมายแค่ขอเอาคืน แต่สำหรับคนอย่างปานปรีย์นั้นหมายถึงการถูกลดขั้น การถูกประเมินผลงานที่ไม่น่าพอใจ ในสายตาสากลเหมือนถูกลงโทษ จากเดิมที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีกลับต้องไปอยู่ใต้รองนายกฯจึงไม่อาจยอมรับได้
การจากไปของปานปรีย์มีทั้งคนเสียดายเพราะน่าจะเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่สุด แต่ก็มีพวกเชลียร์นายใหญ่ที่บอกว่าลาออกไปก็มีคนใหม่มาแทน แถมตั้งคำถามด้วยว่าผลงานของปานปรีย์เยอะจริงหรือ หรือโปรสหรัฐฯมากจนจีนไม่พอใจ ที่บอกว่าช่วยตัวประกันจากฮามาสแต่ทำไมปล่อยให้คนงานใส่เสื้อยืดที่สกรีนธงชาติไทยกับอิสราเอลจนฮามาสไม่พอใจและตัวประกันที่เหลือยังไม่รู้อนาคต ยังไม่รวมปัญหาความไม่สงบในเมียนมาที่ปล่อยให้เครื่องบินรบกองทัพเมียนมาโฉบล้ำชายแดนไทย หรือการปล่อยให้เครื่องบินพม่าขึ้นลงที่สนามบินแม่สอดช่วงค้นเดือนเมษายนโดยไร้รายละเอียดท่ามกลางข่าวลือมากมาย
การปรับครม.โดยยกระดับนายสุริยะให้ยิ่งใหญ่ขึ้นในฐานะรองนายกฯควบรมว.คมนาคม คือความย้อนแย้งกับความรู้สึกของประชาชนที่นายสุริยะเคยถูกตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินการบินไทยมูลค่ากว่า5หมื่นล้านบาท และการกลับมาครั้งนี้มีข่าวปรากฏว่าการบินไทยเพิ่งสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งใหม่อีก 45 ลำโดยนายสุริยะอ้างแบบลอยตัวว่าไม่มีอำนาจยับยั้ง
แต่เป้าใหญ่ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักสุดของการปรับครม.ครั้งนี้อยู่ที่นายพิชิต ชื่นบาน อดีตทนายความของนายใหญ่เจ้าของ “ถุงขนม 2 ล้านบาท”ในปี 2551 ที่เคยถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4599/2551 ข้อหาละเมิดอำนาจศาล แม้จะรับโทษไปแล้วนานกว่า 10 ปี แม้จะผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งว่ามีคุณภาพเป็นสส.ได้ แล้วคราวนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแบบไม่แคร์ความรู้สึกประชาชน
การแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ควรพิจารณาคัดเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถ ประวัติขาวสะอาด ไม่มัวหมอง ตอนเป็นฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยก็เคยโจมตีคนอื่น แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้มีทั้งอดีตนักโทษคดียาเสพติด อดีตนักโทษคดีถุงขนมเข้าร่วมรัฐบาล สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยหมดคนดีมีฝีมือ หรือมีภารกิจสำคัญให้มาเตรียมงาน
การแต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีสามารถเรียกทัวร์มาลงครั้งใหญ่โดยขณะนี้มีการเคลื่อนไหวจากหลายกลุ่ม ทั้งตรวจสอบนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ว่าตั้งทนายถุงขนมเป็นรัฐมนตรีถือว่าเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ทั้งร้องผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
คนที่รับไปเต็มๆอย่างปฏิเสธไม่ได้อย่างนายกฯเศรษฐา ได้แค่กล่าวคำขอโทษปานปรีย์ และขอบคุณที่ช่วยงาน เหมือนรู้อยู่แล้วว่าวันที่ดึงหมวกรองนายกฯคืนปานปรีย์จะไม่อยู่แน่ แต่เศรษฐาก็ยังยืนยันว่าการปรับครม.ครั้งนี้ไม่ผิดฝาไม่ผิดตัว เป็นธรรมดาที่มีคนสมหวังและผิดหวัง
แต่ใครๆก็รู้ว่าเศรษฐาเป็นแค่ผู้ลงนามในหนังสือที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ตัวจริงที่สั่งการปรับครม.คือผู้มีบารมีนอกรัฐบาลนั่งบัญชาการอยู่ที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” เพราะการปรับครม.แบบนี้เป็น “ทักษิณสไตล์” ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขยันปรับทุก 6 เดือนแบบแบ่งปันเก้าอี้ให้คนในพรรค ปูนบำเหน็จนักการเมือง เป็นสมบัติที่ให้ผลัดกันชมแต่ให้แค่ดมห้ามผูกขาด
การลาออกของปานปรีย์จึงไม่ใช่การหักหน้าเศรษฐา แต่คือการ “หักหน้าทักษิณ” เพราะปานปรีย์ก็รู้ว่าใครสั่ง แต่ไม่อาจยอมรับ เพราะไม่ใช่นักเลือกตั้ง เพราะไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ยของจันทร์ส่องหล้า ไม่ยอมอยู่ใต้เงาตระกูลชินวัตร
การปรับครม.ครั้งนี้ที่มิใช่การจัดวางคนให้เหมาะสมกับงาน สิ่งที่ชาวบ้านเห็นและรู้ทันคือการตอบแทนทางการเมือง คือการวางหมากสำหรับแผนการเมืองในอนาคต คือความเสื่อมของนายใหญ่ที่ยังคิดและทำในบรรยากาศการเมืองเดิมๆ
ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ด้วยการแจกเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท แค่ต้องแก้ไขคณะรัฐมนตรี เอาคนดีคนเก่งเข้ามาร่วมกันบริหารบ้านเมืองโดยมุ่งเป้าที่ประชาชน แก้ปัญหาการโกงกินที่สะสม ใช้เม็ดเงินภาษีให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ แค่นี้ก็นำประเทศไทยให้เกิดหน้าได้แล้ว