ปฏิรูปตำรวจ 7ปีมีแต่โบว์ดำและถุงดำ
จากกรมตำรวจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย แปลงเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ ปี 2541 สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงปัจจุบันในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเวลา 23 ปีแล้วที่ได้ถามกันมาเป็นระยะว่านอกจากการเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนอำนาจการควบคุมหน่วยงานที่มีกองกำลังกว่า 2 แสนนายแล้ว ประชาชนได้รับประโยชน์อะไรมากขึ้นกว่าเดิมบ้างหรือไม่ ข้อความที่ว่า “เป็นตำรวจมืออาชีพ เพื่อความผาสุกของประชาชน” นั้นเป็นเป้าหมายร่วมของตำรวจไทยที่ต้องไปให้ถึง หรือเพียงแค่วิสัยทัศน์ที่ยกมาให้องค์กรดูดี
นโยบายและความคิดที่จะปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทยให้มีมาตรฐานแบบสากล ให้เป็นผู้ถือกฎหมายและอาวุธเพื่อรักษาความสงบสุข ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนนั้น เป็นเรื่องที่ทุกรัฐบาลบอกกล่าวกับประชาชน แต่ในทางปฏิบัตินั้นยังไม่อาจวัดผลสัมฤทธิ์ได้เป็นที่ประจักษ์ ในทางกลับกันสังคมไทยยังถูกฝังลึกไว้ด้วยผลงานอัปยศหลายชิ้นที่ยากจะลืมเลือน
คดีเพชรซาอุฯ : อุ้มฆ่า2แม่ลูก
ปี 2533 คดีเพชรซาอุฯที่คนงานไทยแอบขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดีอาระเบียหนีกลับมาเมืองไทย จากคดีลักทรัพย์ธรรมดาแต่เพราะมูลค่ามหาศาลได้กลายเป็นคดีฆาตกรรมอำพรางแม่ลูกตระกูลศรีธนะขันธ์ โดยมีตัวละครสำคัญในขณะนั้นคือ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ เจ้าของฉายา “สิงห์เหนือ”
เริ่มต้นจากการโชว์ผลงานตามจับหัวขโมยแสบ นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้อย่างรวดเร็วและส่งคืนเครื่องเพชร แต่ทางการซาอุดีอาระเบียแจ้งว่าเครื่องเพชรประมาณครึ่งหนึ่งเป็นของปลอม ทางการซาอุดีอาระเบียสงสัยว่าตำรวจไทยยักยอกเครื่องเพชรเอาไว้เอง ทำให้พล.ต.ท. ชลอกลับมาทำคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยสอบปากคำนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชรที่รับซื้อของโจร แต่วิธีการที่ล้ำเส้นคือทีมงานของพล.ต.ท.ชลอได้ลักพาตัวภรรยาและลูกชายของนายสันติไปเป็นตัวประกันเพื่อบีบให้นายสันติสารภาพ สุดท้ายลงเอยด้วยการฆาตกรรมอำพรางสองแม่ลูกเพื่อปิดปากโดยจัดฉากให้ดูเหมือนอุบัติเหตุทางรถยนต์
พล.ต.ท.ชลอ และลูกน้องทั้ง 9 คน ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยพล.ต.ท.ชลอถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานออกคำสั่งฆ่าสองแม่ลูกในปี พ.ศ. 2538 มีการต่อสู้คดี 3 ศาลจนศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอถูกถอดยศ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมดในปี2553 อย่างไรก็ตามนายชลอได้รับการลดโทษในหลากหลายโอกาส จากโทษประหารเหลือจำคุกตลอดชีวิตและหลังจากอยู่ในคุก 19 ปีก็ได้รับการพักการลงโทษ และออกจากเรือนจำกลางบางขวาง เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556
คดีโจ ด่านช้าง : วิสามัญฆาตกรรม
ปี 2539 จากเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 6 คน มีนายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น หรือ “โจ ด่านช้าง” เป็นหัวหน้าแก๊งพร้อมอาวุธสงครามจับครอบครัวหนึ่งเป็นตัวประกันในบ้านใต้ถุนสูงที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนามีน้ำท่วมรอบบ้านในตำบลบางใหญ่ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี
คดีนี้พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค รองอธิบดีกรมตำรวจ(ในขณะนั้น) พร้อม พ.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้บังคับการกองปราบปราม(ในขณะนั้น) เดินทางลงพื้นที่คุมคดีด้วยตนเอง โดยพ.ต.อ.อัศวิน ลงทุนถอดชุดตำรวจเหลือแต่เสื้อกล้ามเข้าเจรจาจนคนร้ายยอมปล่อยตัวประกัน และยอมมอบตัวให้จับได้ใส่กุญแจมือ ตำรวจคุมตัวออกจากบ้านเดินลุยน้ำจะมาที่ถนน แต่กลับพาเดินกลับเข้าบ้านอีกครั้งโดยอ้างว่าไปค้นหาอาวุธปืนที่ซ่อนอยู่ จากนั้นเกิดเสียงปืนดังขึ้นในบ้านหลายสิบนัด ผู้ต้องหาทั้ง 6 รายถูกยิงตาย ตำรวจอ้างว่าระหว่างหาอาวุธหนึ่งในคนร้ายได้หยิบปืนจากที่ซ่อนออกมายิงต่อสู้ กลายเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมที่อื้อฉาวจนทุกวันนี้
อัศวิน ขวัญเมือง เติบโตในหน้าที่การงานเลื่อนยศเป็นพล.ต.อ. เกษียณอายุราชการในตำแหน่งรอง ผบ.ตร. แล้วได้นั่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จากนั้นได้รับการแต่งตั้งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน
สำหรับพล.ต.อ.สล้าง หลังจากเกษียณอายุได้เคยตั้งมูลนิธิขึ้นมาแจกจ่ายยาต้านโรคเอดส์ เคยแสดงบทบาทในเรื่องสาธารณะเช่นคัดค้านโครงการรถไฟฟ้าลอยฟ้า(BTS)ของกรุงเทพมหานคร ตอนหลังออกมาต่อต้านโครงการรถไฟรางคู่ขนาด 1 เมตร เสียชีวิตเมื่อปี 2561 ตอนอายุ 81 ปี เหตุกระโดดห้างสรรพสินค้าดังแถวแจ้งวัฒนะโดยสันนิษฐานว่าเป็นโรคซึมเศร้า
คดีบอส : เงินง้างยุติธรรม
โฆษณาของเครื่องดื่มชูกำลัง “กระทิงแดง” ที่ติดหูชาวบ้านคือ “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน” แต่ลูกชายคนเล็กของครอบครัวอยู่วิทยาเจ้าของกระทิงแดง ชื่อเล่น “บอส”หรือนายวรยุทธ กลับขับรถหรูเฟอร์รารี่ ราคา 15 ล้านบาท ไปพุ่งชนรถจักรยายนต์ที่ดาบตำรวจ วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจจากสถานีทองหล่อ กำลังขับขี่ ช่วงเช้ามืด 05.30 น. ของวันที่ 3 กันยายน 2555 บริเวณปากซอยสุขุมวิท 47 มีผลให้ดาบตำรวจวิเชียรตายคาที่ และด้วยความเร็วของรถยนต์ได้ลากศพของตำรวจไปไกลกว่า 200 เมตร แต่บอส-วรยุทธ ไม่ได้หยุดช่วยเหลือคู่กรณีหรือแจ้งเหตุ กลับขับรถหนีกลับบ้านตัวเองที่อยู่ภายในซอยสุขุมวิท 53 ซึ่งต่อมาตำรวจติดตามจับกุมตัวได้
ความเป็นทายาทมหาเศรษฐีตระกูลดังที่ตอนแรกตำรวจตั้ง 5 ข้อหาหนัก ขับรถขณะมึนเมา ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย ขับรถชนแล้วหนี ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพราะความแตกว่ามีนายตำรวจสน.ทองหล่อพยายามเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาเอาพ่อบ้านมารับผิดแทน จึงต้องทำขึงขังเอาเรื่องแบบไม่ไว้หน้าใคร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปคดีบอสกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูทั้งประเทศ เป็นการพิสูจน์ว่าประเทศไทยนั้น เงินง้างกฎหมายได้ คุกมีไว้ขังเฉพาะคนจนและคนไม่มีเส้น อำนาจ บารมี และอิทธิพล ทำให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงขบวนการยุติธรรมได้ สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างพยานหลักฐานใหม่ เปลี่ยนความเร็วรถได้ เปลี่ยนการดื่มก่อนขับเป็นดื่มหลังขับได้ ไม่ตั้งข้อหายาเสพติดทั้งๆที่ตรวจพบสารแล้วก็ได้ หรือแม้แต่เปลี่ยนผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายให้กลายเป็นคนผิดก็ยังได้ จนทำให้อัยการที่เคยสั่งฟ้องเปลี่ยนมาสั่งไม่ฟ้อง
คดีนี้แม้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีจะสั่งให้รื้อคดีใหม่แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่มีปัญญาจะนำตัวจำเลยกลับมาดเนินคดี และตัวการใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการพยายามบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมก็ยังไม่ถูกลงโทษ
โจ้ เฟอร์รารี่ : ถุงดำเขย่าสีกากี
สิงหาคม 2564 คนไทยทั้งประเทศรับรู้ในคดีอื้อฉาวเมื่อ “ผู้กำกับโจ้” หรือ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสววรรค์ มีพฤติการณ์กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยการทรมาน นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติดโดยใช้ถุงคลุมหัวจนถึงแก่ความตาย ตามที่ปรากฏในคลิปบนโลกออนไลน์
อีกทั้งยังพบว่ามีการครอบครอง “รถหรู” ราคาแพงหลายสิบคันทั้งเฟอร์รารี ลัมโบร์กินี และอื่นๆ โดยเมื่อตรวจสอบย้อนหลังพบว่าตั้งแต่ปี 2554-2560 พ.ต.อ.ธิติสรรค์ เป็นเจ้าของสำนวนคดีนำจับรถหรูและรถทั่วไปรวม 368 คัน ขายทอดตลาดไปแล้ว 363 คัน ซึ่งคาดว่าจะได้รางวัลนำจับและสินบนจากกรมศุลกากรหลายร้อยล้านบาทที่อาจจะเข้าข่ายการ “ฟอกรถ”จากต่างประเทศที่ทำเป็นขบวนการใหญ่
จากพฤติกรรมอันอุกอาจของอดีตผู้กับกับโจ้ ประกอบกับประวัติที่ร่ำรวยผิดปกติ ใช้ชีวิตหรูหราในแวดวงไฮโซ มีผลให้สังคมหันมาตั้งคำถามต่อแวดวงสีกากีว่าคัดกรองบุคลากรกันอย่างไร แต่งตั้งกันขึ้นมาอย่างไร ไม่ตั้งข้อสงสัยกันบ้างหรือว่าร่ำรวยกันขึ้นมาอย่างไร หรือการนายพลตำรวจทุกคนที่รับราชการมาทั้งชีวิต ไม่เคยทำธุรกิจ ไม่เคยรับมรดก แต่มีทรัพย์สินหลายสิบหลายร้อยล้านเป็นเรื่องปกติธรรมดาแบบรู้ๆกัน
ตำรวจเลวแค่ 0.01% ของสองแสน
อดีตนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวว่า “ตำรวจเลวมีแค่ 0.01% ของสองแสนสอง” โดยอธิบายว่าตำรวจทั่วประเทศสองแสนกว่าคน ในนครบาลอีกสองหมื่นคน ตำรวจร้อยละ 99.99 เป็นคนดี ตั้งใจทำงาน ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พยายามกำจัดคนไม่ดีออกจากวงการ
ข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือพัวพันในคดียาเสพติด กว่า 170 นาย ในจำนวนนี้อยู่ในพื้นที่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, ภาค 2 และภาค 7 รวมทั้งพนักงานสอบสวนหลายสิบนายที่เข้าไปบิดเบือนสำนวนคดี จนทำให้ผู้ต้องหาได้เปรียบในรูปคดี
ปี 2563 มีการลงโทษข้าราชตำรวจที่กระทำความผิดทั้งสิ้น 400 ราย เป็นการไล่ออกจากราชการ 295 ราย ปลดออกจากราชการ 57 ราย และให้ออกจากราชการ 48 ราย
ปี 2564 ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม มีข้าราชการตำรวจถูกลงโทษทั้งสิ้น จำนวน 148 นาย เป็นการไล่ออกจากราชการ จำนวน 108 นาย ปลดออกจากราชการ จำนวน 33 นาย และให้ออกจากราชการ จำนวน 7 นาย
ผลงานการกำจัดตำรวจเลวที่ดูเหมือนสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำจริงจังต่อเนื่องนั้น หากลงในรายละเอียดเป็นที่รู้กันว่าแค่ปลาซิว ปลาสร้อย ถ้าจะแก้ปัญหากันจริงๆคือต้องผ่าตัดทั้งองค์กร แต่ก็อย่างที่เห็นกันอยู่คือคนมีอำนาจก็ยังหวงอำนาจ คนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ต้องการยึดครองเก้าอี้ในระยะยาวจะปล่อยองค์กรตำรวจที่มีกำลังพลกว่า2แสนนายไปทำไม
การปฏิรูปตำรวจจึงเป็นเพียงวาทกรรมที่สร้างผลงานชิ้นโบว์ดำในอดีตและถุงดำในปัจจุบันแค่นั้น