Digiqole ad

TPFA ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย “รักษ์โลก ผ่าน BCG ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย”

 TPFA ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย “รักษ์โลก ผ่าน BCG ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย”
Social sharing
Digiqole ad

TPFA ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย รักษ์โลก ผ่าน BCG ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย

กรุงเทพ 25 ตุลาคม 2566 สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย (TPFA, Thai Pet Food Trade Association) ร่วมงานแสดงสินค้าและบริการด้านสัตว์เลี้ยงนานาชาติแห่งภูมิภาคเอเชีย (Pet Fair South East Asia 2023)จัดแบบ B to B (Business to Business) ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา พร้อมขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม “รักษ์โลก ผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy เพื่อส่งเสริมการนำหลักเศรษฐกิจ ชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว ไปสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงให้มากที่สุด

ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงศักยภาพในการเป็นผู้นำอันดับ 3 ของโลก ในการผลิตและส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขและแมว รองจากประเทศเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา สร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 7-8 หมื่นล้านบาท โดยสมาคมมุ่งอุตสาหกรรมเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านนโยบายหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยอาหาร จริยธรรมด้านแรงงาน และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน”  ดร.ชนินทร์ เสริมว่า ในครั้งนี้ สมาคมจัดกิจกรรมเสวนาส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม หัวข้อ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไทยกับความยั่งยืนภายใต้ BCG Model สอดคล้องนโยบายระดับชาติ และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goal) อีกทั้ง ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ในกรอบการเจรจาสำคัญ เช่น ความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป(FTA Thai-EU) และกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโดแปซิฟิค (The Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity, IPEF) ซึ่งริเริ่มโดยสหรัฐอเมริกาดังนั้น อุตสาหกรรมต้องปรับตัว และปฏิบัติตามกฎระเบียบสากล ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปกป้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและในมหาสมุทร การลดขยะทะเล ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรอาหารสำคัญของโลก”

การนำหลักการ BCG ประยุกต์ใช้ในสมาคม และประเมินผลสำเร็จอย่างไร

ดร.ชนินทร์ ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนสูญเสียของการผลิต (Food loss food waste) จากอุตสาหกรรมทูน่า ไก่ เครื่องในวัวแกะที่มีคุณภาพ ผ่านการวิจัยพัฒนาสูตร สู่กระบวนการผลิต ตามกฎหมายกรมปศุสัตว์และมาตรฐานสากล จนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงเกรดพรีเมี่ยมส่งออกไปทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ขึ้นกับความพร้อมของบริษัท อาทิเช่น ขยายการผลิตไฟฟ้าจาก Solar roof top, การเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังความร้อนใช้ในระบบทำความเย็นและไอน้ำ การนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ การเปลี่ยนเชื้อเพลิงบอยเลอร์จากถ่านหินเป็น Biomass การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recycled) เป็นต้นและกล่าวถึงการประเมิน ผลสำเร็จของ  BCG ว่าอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง มีการใช้ประโยชน์จากการนำกลับมาใช้ใหม่(Circular) และพัฒนาไปใช้พลังานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Green) มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

จากแผนประเทศไทยกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas, GHG) ลดลง 40% ภายในปี 2030 โดยการสนับสนุนของนานาชาติ และตั้งเป้าหมายภายในปี 2065 บรรลุการปล่อ GHG เป็น 0% (Net Zero GHG Emission) ในเรื่องนี้ ดร.ชนินทร์ กล่าวว่า สมาคมตระหนักถึงความสำคัญในการจัดทำข้อมูล Carbon Footprint องค์กรเพื่อหา Baseline ของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงว่า มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นปริมาณเท่าใด ซึ่งเป้าหมายการลดเป็นไปตามแผนของชาติ ทางสมาคมตั้งคณะทำงานวิเคราะห์ข้อมูลของสมาชิกเพื่อนำมาประเมินตัวเลขในภาพรวมคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอุตสาหกรรม ตลอดจนประชาสัมพันธ์การอบรมความรู้เชิงวิชาการ กฎระเบียบ แก่สมาชิกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยู่ในแผนงานสมาคมปี 2023-2024

แนวทางการคืนสู่สังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility)สมาชิกสมาคมได้ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับชุมชนและหน่วยงานราชการในพื้นที่ อาทิเช่น รณรงค์ทำความสะอาดขุดลอกคลอง, สร้างฝ่ายชะลอน้ำ, ปลูกป่าชายเลน, กำจัดขะเศษอาหาร, ริจาคถังขยะให้ชุมชน, ร่วมกับโรงเรียนเก็บขวด PET มาเข้ากระบวนการรีไซเคิล เป็นต้น โดย ดร.ชนินทร์ เสริมว่า สมาคมได้นำเจตนารมณ์ กิจกรรม และขีดความสามารถของสมาชิก สื่อสารต่อสาธารณะให้เห็นถึงความพลังของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การลดและจัดการขยะทั้งบนบและในทะเลได้อย่างมีนัยสำคัญและยั่งยืน ต้องอาศัยการเชื่อมโยงและทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ของภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม

ดร.ชนินทร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ภาคเอกชนต้องลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทางภาครัฐควรสร้างมาตรการจูงใจทางภาษี เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 

 

Facebook Comments

Related post