Digiqole ad

“ไฟสมรสไม่สมรัก” ปัญหาใหญ่(มาก)สังคมไทย

 “ไฟสมรสไม่สมรัก” ปัญหาใหญ่(มาก)สังคมไทย
Social sharing

Digiqole ad

อีบุ๊กบางกอกทูเดย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๔๒๖ ระหว่างวันที่ ๕-๑๑ เมษายน ๒๕๖๗

หน้า 2-3

“ไฟสมรสไม่สมรัก”

ปัญหาใหญ่(มาก)สังคมไทย

            ในขณะที่ละคร 2 ช่องใหญ่ใจตรงกัน นำเสนอละครแนวดราม่า ออนแอร์ในเวลาไล่เลี่ยกันขณะนี้ ระหว่างมุมแดง “สงครามสมรส” ช่องวัน31กับมุมน้ำเงิน “ลมเล่นไฟ”ช่อง 3HD ซึ่งเป็นแนวสะท้อนสังคมความเป็นจริงทางด้านครอบครัวไทย ในกรณีที่ฝ่ายชายไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย และข่าว “เจ๊อ้วน” ที่กลายเป็นข่าวใหญ่โต ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของเว็บไซต์ World Population Review ในปี 2566 ประเทศไทย ติดอันดับ 4 ที่มีสถิติการนอกใจสูงที่สุดในโลก อยู่ที่ 61% และเมื่อเทียบสัดส่วน ยังพบว่า ผู้ชายที่แต่งงานแล้วมีเปอร์เซ็นต์นอกใจภรรยามากกว่า

จุดเริ่มต้นละคร 2 เรื่อง

“สงครามสมรส” ละครแนวดราม่าครอบครัว สะท้อนชีวิตครอบครัวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ผ่านเรื่องราวของผู้หญิง ที่ต้องลุกขึ้นปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง และครอบครัว ผ่านกระบวนการยุติธรรมในศาลกำกับฯ โดย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ใช้คนเขียนบทละครถึง 3 คนเช่นกัน ประกอบด้วย พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์ ,วรรณถวิล สุขน้อย และ พิมสิรินทร์ พงษ์วานิชสุข นำแสดงโดย แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (บ้านใหญ่) รับบท บัวบงกช/บัว,คริต-ชาคริต แย้มนาม รับบท ปรเมศวร์/เมศ, มายด์-ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล (บ้านเล็ก)  รับบท อรนลิน/ลิน และ ตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา รับบททนาย ภาวินท์/วิน  ออกอากาศตอนแรกวันที่ 18 มีนาคม 2567 ทางช่องวัน31 เวลาออกอากาศทุกวันจันทร์และอังคาร เวลา 20.30 น.

 

            “ลมเล่นไฟ” (Exes & Missus) เป็นละครโทรทัศน์แนวดราม่า โดยผู้จัดละคร จริยา แอนโฟเน่ แห่งเมคเกอร์เจ จากการกำกับฯของ โอ๊ต-วรวุฒิ นิยมทรัพย์ บทประพันธ์ ชญานิน เลี่ยวไพโรจน์ บทละครโทรทัศน์ โดยใช้ผู้เขียนถึง 3 คน คือ ชญานิน เลี่ยวไพโรจน์ (เจ้าของบทประพันธ์),กรรณิการ์ โตวรานนท์ และ ศรียุดา วรรณภาค

นำแสดงโดย เชอรี่-เข็มอัปสร สิริสุขะ (บ้านใหญ่) รับบท พระพายพัด (พระพาย) ศัลยแพทย์ชื่อดังและภรรยาของธราดล อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ รับบท ธราดล (ดิน) สามีของพระพายพัดที่ไปมีความสัมพันธ์กับอัคนียา, อแมนด้า ออบดัม (บ้านน้อย) รับบท อัคนียา (เฟลม) หญิงวสาวที่ไปมีความสัมพันธ์กับธราดล และ ป๊อป-ฐากูร การทิพย์รับบท อนล เพื่อนสนิทของธราดล และพี่ชายของอัคนียา

นับเป็นละครยาวเรื่องแรกในรอบ 9 ปีของ เชอรี่ เข็มอัปสร นอกจากนี้ยังเป็นการพลิกรับบทร้ายครั้งแรกของ อแมนด้า ออบดัม ออกอากาศทุกวันพุธและพฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ออกอากาศตอนแรกทางช่อง 3HD เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567

“เมียน้อย” ต้นเหตุแห่งปัญหา?

“เมียน้อย” เมื่อเอ่ยคำนี้กับใครๆ ทุกคนก็จะมองว่านี่คือตัวปัญหาที่จะคอยเป็นบ่อนทำลายสถาบันครอบครัว ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดปัญหานี้ขึ้นในครอบครัว แต่อย่างไรก็ดีปัญหานี้ ก็ยังคงเป็นปัญหาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายมาตลอดตั้งแต่อดีตกาล ถึงปัจจุบัน และคาดว่าในอนาคตต่อไปก็ยังคงเกิดขึ้นได้ ถ้าเรายังเพียงแค่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับโดยที่ไม่สนใจจะทำความรู้จักและศึกษา เพื่อหาทางป้องกันปัญหานี้อย่างจริงจัง

            “เมียน้อย” คือผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอย่างสามีเมียกับชายที่มีเมียอยู่แล้ว สาเหตุการต้องมาเป็นเมียน้อย โดยทั่วไปมักจะคิดกันว่าผู้หญิงที่ต้องมาเป็นเมียน้อยนั้น เป็นเพราะต้องการความสุขสบาย ไม่ต้องลำบากสร้างฐานะตัวเองเหมือนกับการเป็นเมียหลวง ศ.เกียรติคุณ พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ แห่งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผลการศึกษา พบสาเหตุ ว่ามีดังต่อไปนี้ (เรียงตามลำดับ)

1.ต้องการความรัก ความอบอุ่น และอยากมีที่พึ่งพิงทางใจ เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดในกลุ่มเมียน้อย เนื่องจากในอดีตพวกนี้ขาดความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัว มาจากครอบครัวที่แตกแยก 2. ถูกสามีหลอกลวงว่ายังไม่มีครอบครัว ยังไม่ได้แต่งงาน หรือหลอกลวงไปข่มขืน 3.ต้องการเงิน ต้องการผู้อุปการะ 4.อื่น ๆ เช่น มีปัญหาทางบุคลิกภาพ เช่น ต้องพึ่งพิงผู้อื่น รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีคุณค่า มีวุฒิภาวะต่ำกว่าอายุ

ทั้งนี้ค่านิยมของผู้หญิงที่ต้องการมีสามีเพียงคนเดียว เมื่อรู้ความจริงว่าสามีมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว จึงต้องยอมรับความเป็นเมียน้อย

สำหรับความรู้สึกของเมียน้อยนั้น จากการศึกษาถึงความรู้สึกต่อการเป็นเมียน้อย ส่วนใหญ่จะรู้สึกผิดหรือเสียใจ เพราะความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องสามีมีเมียน้อย เป็นเรื่องที่ไม่สมควร มีบางส่วนที่รู้สึกโกรธที่ถูกหลอกลวง บางคนทั้งโกรธและรู้สึกผิดรวมกัน มีจำนวนน้อยที่ไม่รู้สึกอะไร

ศ.เกียรติคุณ พญ.นงพงา ยังได้กล่าวถึงการป้องกันปัญหาเมียน้อยอย่างไรดี ปัญหาเมียน้อยนี้ควรจะเน้นการป้องกันเป็นสำคัญ เพราะถ้าเกิดปัญหาเมียน้อยกับครอบครัวใดขึ้นมาก็เป็นการยากที่จะจัดการกับชีวิตครอบครัว เพราะไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเลิกรากันไป ซึ่งก่อให้เกิดความปวดร้าวทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นควรหันมาให้ความสนใจในด้านป้องกันจะเป็นประโยชน์มาก โดยวิธีป้องกันมีดังนี้

1.บิดามารดาควรเลี้ยงดูบุตรอย่างใกล้ชิด ให้ความรักความอบอุ่น อย่างเพียงพอ ไม่นำบุตรไปให้คนอื่นเลี้ยง หรือไม่นำเด็กเล็กไปอยู่โรงเรียนประจำ ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กโตขึ้นมาแบบขาดรัก และต้องไปแสวงหาทดแทนในอนาคตที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว 2. บิดามารดาควรอบรมบ่มนิสัยให้เด็กเกิดบุคลิกภาพที่ดี เช่นมีความเป็นตัวของตัวเอง มีวิจารณญาณที่ดี ให้บุตรรู้เท่าทันคนโดยมีวุฒิภาวะให้สมอายุ ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่หลงเชื่อคนง่ายๆโดยไม่ตรวจสอบให้มีความสามารถเลือกคู่ครองให้ดีจะได้ไม่ผิดหวังในคู่ครอง 3.ดูแล เอาใจใส่ เข้าใจ ให้ความรักซึ่งกันและกันของสมาชิกในครอบครัวเพื่อป้องกันปัญหาความไม่เข้าใจ แตกแยก อันจะนำมาซึ่งผลเสียขาดความอบอุ่นในครอบครัว 4.ช่วยกันพัฒนาสังคมช่วยกันแก้ไขความยากจน เพื่อให้ประชากรในชาติช่วยตัวเองได้ เลี้ยงดูตัวเองได้ เพื่อลดปัญหาการที่เด็กสาวต้องกลายเป็นเมียน้อยหรือโสเภณี

จิตแพทย์ เผยทำไมผู้ชายมีเมียน้อย

ในเรื่องของผู้ชายมีชู้หรือเมียน้อยมีโอกาสเกิดขึ้นในทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่ คนธรรมดาไปถึง คนในผ้าเหลือง แม้กระทั่งละครดังก็มีเนื้อเรื่องของคู่รัก “มีชู้” มานำเสนออยุ่บ่อยๆ เนชั่นทีวีเคยนำเสนอข้อมูลจากจิตแพทย์ที่เผยผ่านเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิตถึงสาเหตุมาให้ศึกษากัน

“กรมสุขภาพจิต” ระบุว่า ได้ทำการศึกษาของผู้ชายไทย 20 คน ที่ให้สัมภาษณ์แบบเปิดใจ พบว่า การที่พวกเขาเหล่านั้นมี “เมียน้อย” หรือนอกใจมีหลายสาเหตุ ซึ่งเหมือนกันกับคนที่ “มาเป็นเมียน้อย” ก็มีหลายสาเหตุเหมือนกัน ซึ่งพอสรุปได้ 3 ข้อใหญ่ดังนี้

1.จากความใกล้ชิดผู้หญิงคุ้นกับคำว่า “รักแท้แพ้ใกล้ชิด” มั้ย เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ จากการที่ คู่รักทำงานกันคนละที่ และเพื่อนร่วมงานของฝ่ายชาย ดันเป็นผู้หญิง กิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น การประชุม ,นั่งติดกัน , กินข้าวพร้อมกัน ,ออกสัมมนาด้วยกัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความผูกพันขึ้นจนเป็นที่มาของ “การนอกใจ”

2.ผูกใจจำกับทัศนคติว่าสามารถมีภรรยาได้หลายคน ผู้ชายต่างมีความคิดว่า ไม่เห็นเป็นอะไรหากมีเมียได้หลายคน ที่แย่ก็คือผู้ชายเหล่านี้ก็ไม่ยอมให้ภรรยาตัวเองมีสามีหลายคนด้วย เห็นแก่ตัวเสียจริง!!

3.ไม่มีความสุขกับภรรยาหลวง ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันยังมีการ “คลุมถุงชน” อยู่ คู่แต่งงานหลายคู่ แต่งงานกันด้วยความไม่เต็มใจ ผู้ใหญ่ชอบอ้างว่า “อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รักกันเองแหละ” ซึ่งหลายคู่ก็เห็นแล้วว่าไม่ได้รักกันจริง แต่….ข้อนี้ก็ไม่ควรเป็นข้ออ้างของการมีชู้ ถ้าหากจดทะเบียสมรสกันแล้ว การจะมีคนอื่นได้ก็ควรหย่าร้างกันให้เสร็จเสียก่อน

 

จากสาเหตุข้างต้นจะเห็นได้ว่า การที่ผู้ชายเหล่านี้ไปนอกใจภรรยาก็คือบุคลิกนิสัยส่วนตัวนั่นเอง เพราะว่าคนเหล่านี้มีปัญหาบุคลิกภาพหลายๆ อย่างเป็นพื้นฐาน คือพบว่าเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวเปลี่ยนแปลงง่ายไม่ชอบตัดสินใจ ไม่ชอบคิดมาก ปล่อยตามสบาย ไม่ชอบแสดงออก หุนหันพลันแล่น

ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ ควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดี จะชอบปล่อยตัวปล่อยใจไปเรื่อย ๆ แล้วแต่เหตุการณ์จะพาไป หรือไม่ยับยั้งชั่งใจ ให้ดี ไม่พยามยามหักห้ามใจไม่ให้ทำผิด ไม่ข่มใจ ไม่อดกลั้น ไม่หยุดตัวเอง ไม่ยุติปัญหาตั้งแต่ต้น แล้วพาไปสู่การพ่ายแพ้แก่อารมณ์ของตนหรือที่เรียกอีกอย่างว่า แพ้ต่อกิเลสตัณหาของตน

ทั้งนี้ไม่ว่าฝ่ายไหน ก็ไม่ควรคิดนอกใจคนรักของตัวเอง อย่าปล่อยใจตัวเองให้หวั่นไหว หากมีปากเสียงหรือทะเลาะกันให้ มองย้อนนึกภาพไป ตอนจีบกันวันแรกๆ วันที่โทรหากันวันแรกๆ ใช้ความสุขของช่วงเวลานั้นให้มาก

มาถึงจุดนี้ ในรายของผู้หญิง ถ้ารู้ว่าคนรักของคุณ “มีคนอื่น” แล้วถูกจับได้….ต้องย้อนมาถามแล้วว่า คุณจะให้อภัยเขาหรือไม่…ส่วนคุณสามี คุณสาบานได้มั้ย ว่าจะไม่นอกใจภรรยาของคุณอีก เคยได้ยินว่า…. “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” แต่ถ้าที่ตรงนั้นมีรักของคน 2 คนที่แน่นแฟ้น อย่างไรก็ไม่มีทุกข์แน่นอน อย่าต้องให้ถึงจุดที่ต้องฆ่าต้องแกงกันแบบที่เห็นๆอยู่ในทุกวันเลย (ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ)

9 สัญญาณเตือนเหตุปันใจ-วิธีรับมือ

หากคุณกำลังสงสัยว่าพฤติกรรมของแฟนหรือคู่รักเปลี่ยนไป แต่ยังไม่แน่ใจว่าเขากำลัง “นอกใจ” อยู่หรือเปล่า สามารถเช็กลิสต์วิธี จับผิด แฟนนอกใจ อย่าง มือ อาชีพได้ดังนี้

1.ไม่ค่อยกลับบ้านหรือไม่ค่อยมาเจอหน้า 2. มี “ข้ออ้าง” ทุกครั้ง ที่ขอให้ทำอะไรให้ หรือให้พาไปไหน 3. ขัดขวางทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องในอนาคต 4. ไม่กล้าสบตาเวลาพูดคุยกัน 5. แอบตอบแชตในขณะที่เราเผลอ 6. ประวัติการโทรล่าสุดมักถูกเคลียร์อยู่เสมอ 7. เข้าถึงยาก และไม่ค่อยพูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อน         8. ค่อนข้าง “หวงพื้นที่ส่วนตัว” 9. อารมณ์แปรปรวนง่าย โดยเฉพาะในตอนที่อยู่กับคุณ

ส่วนวิธีรับมือเมื่อถูกคนรักนอกใจ : หลายคนที่จับได้ว่าแฟนนอกใจ แต่ยังรักอยู่ ไม่อยากเลิก แต่ก็เจ็บปวดเหลือเกิน หรือจับได้ว่าแฟนนอกใจ แต่ไม่ยอมเลิกรับเรา เรามี “วิธีรับมือ” มาฝาก แนวทางดังต่อไปนี้อาจจะช่วยให้คุณข้ามผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ไม่มากก็น้อย

รักษาระยะห่าง: ในช่วงแรกที่จับได้ว่าแฟนนอกใจ แนะนำให้คุณ “ให้เวลาตัวเอง” หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ ถ้าหากสามารถประคับประคองสติ และพูดคุยได้อย่างมีเหตุผลก็จะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อเข้ารับคำปรึกษาอย่างเร่งด่วน

ใช้เวลากับตัวเองให้มาก ๆ: หากคุณยังไม่พร้อมที่จะเลิกรา หรือยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แนะนำให้ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวดังกล่าวมากจนเกินไป แต่ถ้าหากพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว ก็ให้อยู่กับเพื่อนหรือครอบครัว เพราะความรักในส่วนนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ: ในกรณีที่คุณไม่สบายใจหรือไม่สะดวกใจจะคุยกับคนรอบข้าง สามารถเข้ารับคำปรึกษาหรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อบรรเทาความเครียดของคุณได้ โดยเฉพาะการเข้าพบจิตวิทยาครอบครัว เพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การนอกใจนับเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก ๆ ในความสัมพันธ์ แต่คงจะดีไม่ใช่น้อยหากคุณสามารถสังเกตพฤติกรรมของคนรัก และมีวิธีรับมือที่ดี หากยังรักอยู่ ไม่อยากเลิกรา หรือมองว่าเป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยกันได้ แนะนำให้ปรับความเข้าใจกันอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์และไม่ใช่ความรุนแรง แต่ถ้าหากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการที่จะกลับมารักกันดังเดิม โดยเฉพาะในกรณีที่คุณต้องกลายเป็นฝ่ายเสียใจ แนะนำให้ใช้เวลากับตัวเองให้มาก ๆ เมื่อความรู้สึกโอเคเมื่อไหร่ก็ค่อยลุกขึ้นยืนใหม่ช้า ๆ (ที่มา : Wongnai.com)

ฟ้องหย่าเพราะมีชู้

การฟ้องหย่าเพราะสามีหรือภริยาชู้นั้น  เป็นเหตุแห่งการฟ้องหย่าตามกฎหมาย  ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา  1516 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  โดยบัญญัติว่า  “มาตรา 1516”  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

1.สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ 2. สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง (ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง (ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ 3. สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง  ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ 4. สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ (4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ (4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

5.สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ 6. สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง  ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ 7. สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ 8. สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ 9. สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ 10. สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภรรยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

เตือนหัวอกลูกผู้หญิง

วราภรณ์ แช่มสนิท ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาวะผู้หญิงฯ สมาคมเพศวิถี ศึกษาถึงนิยาม “โลกใบที่สอง” และ “กลรักลวงใจ” ที่บังคับให้ผู้หญิงต้องเป็นคนเอ่ยปากจบความสัมพันธ์ก่อน รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนกล้าออกจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ โดยที่คนรอบข้างมีส่วนร่วม เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2567 โดยกล่าวว่า  ค่านิยมการหล่อหลอม หญิง-ชาย ที่แตกต่างมีผลต่ออิสรภาพการตัดสินใจในความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมไทย มีผลต่อการตัดสินใจเริ่มลงหลักปักฐานสร้างครอบครัว รวมถึงความซื่อสัตย์ต่อคำมั่นสัญญาว่าจะมีกันและกัน หรือการยุติความสัมพันธ์ลง เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกดีกับคนอื่น โดย วราภรณ์ บอกว่า แนวคิดนี้มักถูกปลูกฝังให้กับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่

“ผู้หญิงบางคนถูกสอนว่า ความสำเร็จในชีวิตคือการมีครอบครัว ดังนั้น พออยู่ในสถานการณ์คลุมเครือ ต่อให้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นเรื่องยากที่จะหยิบเรื่องนี้มาพูด หรือต่อให้พูดไปแล้ว กลายเป็นทะเลาะมากกว่าจะพูดว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่การตัดสินใจบอกเลิกก็ถูกผูกไว้ด้วยค่านิยมที่ถูกสอนมา แคร์ทุกคนมากกว่าตัวเอง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจยากกว่าผู้ชาย”

ทั้งนี้เมื่อโลกพัฒนาทำให้เกิดความเท่าเทียมมากขึ้น การคบซ้อน หรือ มีโลกใบที่สอง สำหรับบางคู่อาจไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลก เพียงแต่ต้องพูดคุย ตกลงกันให้เรียบร้อย ไม่ให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียใจ โดยเฉพาะคู่ที่จดทะเบียนสมรส การนอกใจถือเป็นเหตุให้อีกฝ่ายสามารถฟ้องหย่า เรียกค่าสินไหม รวมถึงฟ้องมือที่ 3 ได้ เช่น กรณีที่เคยเกิดขึ้นกับคู่รักดังบางคู่ ยังมีช่องว่าง การใช้กลลวงเพื่อเอาเปรียบภรรยา (Take Advantage) เช่น ทำเป็นไม่รู้ ไม่สนใจ ทนอยู่กันไป รอจนกระทั่งผู้หญิงทนไม่ไหวต้องตัดสินใจบอกเลิกไปเอง ที่สำคัญคือสังคมไทยกลับยอมรับที่ผู้ชายจะไปมีความสัมพันธ์นอกบ้านได้มากว่าผู้หญิง จึงมักเกิดคำที่ว่า

“อย่าคิดมาก ผู้ชายก็แบบนี้แหละ”, “เรามีใบทะเบียนสมรส ยังไงเขาก็อยู่กับเรา” สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการใช้โอกาสเอาเปรียบทั้งทางสังคม และจิตใจ โดยวราภรณ์ แนะว่า หากต้องการเลิกเด็ดขาดควรใช้ช่องทางตาม กฏหมาย แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น อยากให้ผู้หญิงทุกคน ฟังเสียงคนอื่นให้น้อยลง แล้วฟังเสียงตัวเองให้มากขึ้น ว่าตัวเองต้องการอะไรจากความสัมพันธ์ หากคำตอบนั้นคือความสุข แต่ปัจจุบันเรามียังมีความทุกข์ เราจะอยู่กับมันได้ไหม ? อยู่อย่างไร ? หรือต้องการที่จะออกไป อย่ามองว่า การจบชีวิตคู่เป็นความล้มเหลว แต่เป็นการที่เราได้มีทางเลือกในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง  ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะทางเศรษฐกิจมีส่วนในการตัดสินใจ บางครั้งผู้หญิงจะยอมสละการพึ่งพาตัวเองด้วยเพราะคำสัญญาจากสามีหรือบทบาทความเป็นแม่ก็ตามแต่ อยากให้ผู้หญิงรักษาสกิลตัวเองไว้ ให้เรารู้สึกมีพื้นที่ มีตัวตน พร้อมสำหรับสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาอยู่เสมอ เพื่อความมั่งคงทางการเงิน มั่นใจในตัวเอง เมื่อถึงวันที่เราต้องตัดสินใจกับความสัมพันธ์นั้นจริง ๆ

            “อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย อยู่ในจุดหักเหของความสัมพันธ์ ไม่ได้เตรียมตัวพร้อมสำหรับการก้าวไปข้างหน้า คนรอบข้างถือว่ามีส่วนสำคัญ ที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้รับความบอบช้ำมาอย่างมากจะมีครอบครัว พี่น้อง เพื่อน ที่คอยให้กำลังใจ ไม่ตั้งคำถามในเชิงตัดสิน ด้อยค่าว่าผู้หญิงมีส่วนที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้ต้องจบลง ส่วนในมิติของกฎหมายนั้นการบังคับใช้ค่อนข้างอ่อน ทั้งการจ่ายค่าเลี้ยงดู ค่าเสียโอกาสในชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงไม่ควรเรียกร้องอะไรเลย เพื่อที่จะสามารถตั้งหลัก มีโอกาส ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง โดยไม่ยึดติดกับค่านิยม หรือเบ้าหลอม ที่กดทับให้มนุษย์คนหนึ่งด้อยกว่าอีกคนหนึ่งไม่ว่าเพศใดก็ตาม” (ที่มา : theactive.net)

ภาพ : ช่องวัน31,ช่อง 3HD,อินเทอร์เน็ต

หน้า 2-3

“ไฟสมรสไม่สมรัก”

ปัญหาใหญ่(มาก)สังคมไทย

อีบุ๊กบางกอกทูเดย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๔๒๖
ระหว่างวันที่ ๕-๑๑ เมษายน ๒๕๖๗
https://book.bangkok-today.com/books/xqix/#p=1
(พลิกอ่านได้เหมือนหนังสือปกติ)

 

Facebook Comments


Social sharing

Related post