
13 ส.ค.66 หวนรำลึกครบรอบ 30 ปี 137 ชีวิตสังเวยโศกนาฎกรรมสะเทือนขวัญเมืองไทยอันลือลั่น “ตึกโรงแรมรอยัลพลาซ่า โคราชถล่ม”


ย้อนอดีตไป 30 ปี กับเหตุการณ์โศกนาฎกรรมครั้งร้ายแรงสุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย โรงแรมรอยัลพลาซ่า จ.นครราชสีมา ถล่ม เมื่อวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2536 ทั้งนี้เมื่อ เวลา 10.10 น. เกิดเหตุอาคารโรงแรมรอยัลพลาซ่า สูง 6 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ถนนจอมสุรางค์ยาตร์ กลางเมืองนครราชสีมา พังถล่มลงมาอย่างฉับพลันและรุนแรง ในขณะเกิดเหตุมีผู้คนอยู่ในอาคาร 379 คน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 137 ราย บาดเจ็บ 227 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีข้าราชการครูถึง 47 ราย พนักงานบริษัทเชลล์ฯ 24 ราย พนักงานโรงแรม 33 ราย และผู้มาใช้บริการ 33 ราย โดยมีผู้รอดชีวิตกว่า 150 คน

โดยลางหายนะของโรงแรมแห่งนี้เริ่มปรากฏชัดในปีพุทธศักราช 2533 เมื่อกลุ่มผู้บริหารลงความเห็นว่า ควรมีการต่อเติมอาคารจากเดิม 3 ชั้น เป็น 6 ชั้น เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว จากนั้นโรงแรมแห่งนี้ก็มีการต่อเติม และขยายพื้นที่ของอาคารอย่างผิดหลักวิศวกรเรื่อยมา โดยไม่ใส่ใจถึงความปลอดภัยในชีวิตของพนักงาน และแขกที่เข้ามาพักในโรงแรมแม้แต่น้อย!

สิ่งที่ทุกคนไม่เคยรู้มาก่อน คือเจ้าของโรงแรมผู้เห็นแก่ได้ ลักลอบต่อเติมอาคารอย่างไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการตัดเสาขนาดใหญ่ตรงกลางห้องอาหารของโรงแรมทิ้ง หวังเพิ่มพื้นที่ใช้สอย และต้องการให้แขกสามารถเห็นนักร้องได้ชัดเจนขึ้น! และแล้วหายนะครั้งร้ายแรงก็อุบัติขึ้นเมื่อเวลาราว 10 โมงเช้า วันที่ 13 สิงหาคม พุทธศักราช 2536 ตัวโรงแรมเกิดการทรุดตัวอย่างรุนแรง และถล่มลงมาทั้งอาคารในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยตัวโรงแรมเริ่มทรุดตัวจากตอนกลางของอาคารก่อน จากนั้นปีกทั้งสองด้านข้างของอาคารก็พังซ้ำลงมาอีก การทรุดตัวอย่างรุนแรง และรวดเร็วก่อให้เกิดเสียงดังปานฟ้าถล่มดินทลาย ฝุ่นผงจากซากอาคารตลบคลุ้งทั่วบริเวณ
กองซากปรักหักพังกลบฝังร่างมนุษย์กว่า 500 ชีวิต ทั้งพนักงานโรงแรม และแขกที่เข้าพัก มีเพียงส่วนน้อยที่อยู่ชั้นล่าง และไหวตัวทัน รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชได้อย่างหวุดหวิด กระนั้นเมื่อมองไปยังซากปรักหักพัง ก็ไม่มีใครสามารถสะกดกลั้นความตื่นตระหนก ต่อประสบการณ์สยองที่เพิ่งประสบสด ๆ ร้อน ๆ ได้
ซากปรักหักพังที่ทับถมอย่างแน่นหนา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด เพราะการเร่งรื้อซากอย่างไม่ระวังอาจหมายถึงการสูญเสียหลายชีวิตที่ยังมีลม หายใจรวยริน ระหว่างการค้นหาเจ้าหน้าที่ประกาศห้าม ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้ามาในบริเวณ เกรงว่าจะเกิดเหตุชุลมุน ฝ่ายทหารได้นำรถทหารช่างมาช่วยรื้อถอนซากอาคาร และระดมกำลังพลกว่า 200 นาย เพื่อบริจาคเลือดเป็นกรณีเร่งด่วน

จากนั้น ศพแล้วศพเล่าก็ถูกลำเลียงออกมา บางศพอยู่ในสภาพสมบูรณ์ บางศพกู้ได้เฉพาะอวัยวะที่มีชิ้นส่วนกระจัดกระจาย จำเค้าเดิมแทบไม่ได้ โชคยังเข้าข้างที่มีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่บ้าง ทำให้ผู้ป่วย ที่เข้ารักษาในพื้นที่แน่นขนัดจนแทบล้นโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ต่างทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเร่งหาผู้ที่รอดชีวิต จนเวลาล่วงเลยไป 6 วัน จึงยกเลิกการค้นหา ผลการค้นหาพบผู้เสียชีวิต 137 ราย และบาดเจ็บกว่า 300 คน

ตำรวจสรุปสาเหตุของหายนะครั้งนั้นว่า เกิดจากความบกพร่อง ของเจ้าของอาคารที่มีการต่อเติมอาคารผิดจากแบบเดิม ทำให้อาคารไม่สามารถ รองรับน้ำหนักได้ โดยโรงแรมได้ต่อเติมอาคารจาก 3 ชั้นเป็นอาคาร 6 ชั้น ทำให้เสารับน้ำหนักตัวอาคารไม่ไหว อีกทั้งโครงสร้างเสายังไม่ได้เชื่อมยึดติดกัน เมื่อเสาที่ตั้งอยู่บนคานแบกรับน้ำหนักมากเกินไป จึงทำให้คานหลุดออกจากหัวเสาที่ชั้นสอง ทำให้โครงสร้างอาคารบนหัวเสายุบตาม และส่งแรงดึงรั้งกระทบเสาต้นข้างเคียง ให้หักล้มตามมาในที่สุด
ตำรวจจึงได้แจ้งข้อหาแก่ 6 ผู้บริหารโรงแรม รวมทั้งวิศวกรผู้ออกแบบ ในข้อหากระทำการประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ผ่านมากว่า 10 ปี คดีในชั้นศาลจึงสิ้นสุดลง เมื่อศาลฎีกาตัดสินจำคุกนายบำเพ็ญ พันธุ์รัตนอิสระ วิศวกรผู้ออกแบบโรงแรม เป็นเวลา 20 ปี ส่วนผู้บริหารโรงแรมทั้ง 6 ศาลยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า เจ้าของโรงแรมไม่มีความผิด เพราะไม่มีความรู้ด้านก่อสร้าง และทางโรงแรมได้ชดเชยเงินให้กับผู้เสียชีวิตรวม 5 ล้านบาท และเงินที่รับบริจาคอีก 5 แสนบาท เฉลี่ยแล้วผู้เสียชีวิตญาติได้รับเงินรายละ 80,000 บาท และผู้พิการได้รับรายละ 50,000 บาท
(ภาพ : อินเทอร์เน็ต)
Facebook Comments