“อนุทิน”ต้องบินสูง กู้วัคซีนฝ่าวิกฤติ
ช่วงนี้สื่อมวลชนที่ทำงานแบบมืออาชีพอาจจะเกร็งหรือค่อนข้างระมัดระวังในการนำเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวกับปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ เพราะในกระบวนการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ถูกชาวบ้านวิจารณ์ว่าทำงานเหมือน “ลิงแก้แห”แล้ว ยังมีการออกมาตรการควบคุมการเสนอข่าวสารที่มีโทษแรงถึงขั้นติดคุก 2 ปี ปรับถึง 40,000 บาท ตามพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548”
แม้กูรูกฎหมายของฝ่ายรัฐบาลจะบอกว่าเสนอความจริงไม่ผิด แต่ในเมื่อกฎหมายเขียนไว้ครอบจักรวาลว่า “…การเสนอข่าวที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อย เป็นความผิด…” แม้จะไม่มีเจตนาบิดเบือนแต่ก็อาจจะถูกหวยโดนแจ้งข้อหาสร้างความหวาดกลัว หรือกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ เป็นกรณีตัวอย่างให้ต้องเสียเวลาไปค้าความเพิ่มงานให้กับศาลอีก
กระนั้นก็ตามในยามที่ประชาชนคนไทยครึ่งค่อนประเทศยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดเกาะกินปอดและคร่าชีวิตพี่น้องไทย เพิ่มมากขึ้นทุกวัน จนมียอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สะสมเกินกว่า 3,000 ราย ยอดป่วยรักษาตัวอยู่มากกว่า 100,000 ราย การทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงที่ไม่บิดเบือนและแสดงความคิดเห็นติชมในเชิงสร้างสรรค์อย่างเป็นกลางไม่เอียงข้าง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องคนไทยและประเทศชาติจึงต้องดำเนินต่อไป
ประเด็นที่อยากจะบอกกับรัฐบาลที่กำลังเสียศูนย์และอาจจะเสียขวัญกับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ผู้นำอย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยังปากแข็งทำใจดีสู้เสือประกาศว่า “จะไม่มีวันยอมแพ้ต่อสงครามครั้งนี้……จะสู้จนกว่าเราจะเอาชนะได้” ก็ตามที แต่เสียงสะท้อนของชาวบ้านเดินดินที่กำลังไม่มีกิน ลามไปถึงคนชั้นกลางชั้นสูงที่เคยให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพราะเชื่อว่า “เจ็บแล้วจบ” แต่เมื่อสถานการณ์ยืดเยื้อมาปีครึ่งกลายเป็น “เจ็บแล้วเจ๊ง” หลายธุรกิจถอดใจเลิกกิจการอย่างสวนเสือศรีราชา ที่เปิดมา 24 ปียังต้องหยุด ไม่ต้องพูดถึงภัตตาคารร้านอาหารนับหมื่นแห่งที่สายป่านขาดทนสู้ต่อไม่ไหว ต่างพากันตำหนิรัฐบาลร้องประสานเสียงขอเปลี่ยนคนขี่ม้าดีกว่า
คุยกับเพื่อนนักธุรกิจคนหนึ่งที่เก็บตัวอยู่บ้าน(ผ่านทางLINE) บอกว่าสถานการณ์ไทยตอนนี้ก็แปลกดีนะ หลายคนกลุ้มใจค้าขายไม่ได้เพราะรัฐบาลสั่งล็อคดาวน์ 10 จังหวัดแดงเข้ม 14 วันหวังหยุดการแพร่กระจาย หวังกดยอดลงได้ แต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะยอดติดเชื้อรายวันใกล้หลักหมื่น ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลจนต้องให้กลับไปนอนรักษาตัวเองที่บ้าน แพทย์และพยาบาลติดเชื้อเสียชีวิต เตียงไม่พอ โลงศพไม่พอ เมรุเผาศพบางแห่งร้อนจนพัง ฯลฯ
แต่ในสถานการณ์แบบนี้คนไทยกลับยังไม่เลิกพูดด้อยค่าวันซีนจีนที่บางคนเรียก “วัคซีนเซินเจิ้น” ไม่ยอมฉีดวัคซีนจีน จะรอวัคซีนที่ฝรั่งผลิตซึ่งเชื่อว่าดีกว่า จนตัวเองติดเชื้อต้องนอนห้องไอซียูให้หมอยื้อชีวิตอยู่ขณะนี้
เพื่อนนักธุรกิจคนนี้ฉีดวัคซีนซิโนแวคไปแล้ว 2 เข็มแม้ไม่ได้เชียร์จีน ให้ความเห็นว่า ในเมื่อองค์การอนามัยโลกอนุมัติให้ใช้วัคซีนซิโนแวคได้ ในขณะที่จีนยืนยันในประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคว่าฉีดครบ 2 โดส ช่วยป้องกันป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้ ในประเทศจีนใช้ซิโนแวคร่วมกับซิโนฟาร์มฉีดให้ประชาชนไปแล้วกว่า 1,400 ล้านโดส หรือเกือบครึ่งประเทศ และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนเพิ่งอนุมัติให้ฉีดซิโนแวคให้อาตี๋อาหมวยในจีนอายุตั้งแต่ 3 -17 ปี ทำไมคนไทยส่วนหนึ่งจึงไม่เชื่อมั่นวัคซีนจีน หรืออาจเป็นเพราะข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้รับรู้
หรืออาจเป็นเพราะคนไทยยุคนี้บริโภคข่าวสารมากเกินไป หรือเลือกที่จะเชื่อจากผู้ที่พูดมาก สื่อสารบ่อยอย่างนายแพทย์บางนายที่โพสต์เฟซบุ๊กแทบทุกวัน หรือแม้แต่ฝ่ายรัฐบาลเองที่ตัดสินใจดำเนินการฉีดวัคซีนสลับชนิด หรือฉีดเข็มที่ 3 ให้บุคลากรแพทย์ด่านหน้า ก็เท่ากับเป็นการสื่อสารในเชิงลบเช่นกัน
เช่นกรณีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ แจ้งว่าคณะกรรมการเพิ่งมีมติสำคัญคือ เห็นชอบการฉีดวัคซีนโควิดสลับชนิด โดยเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าฯ ระยะห่างกัน 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลตา และฉีดวัคซีนแบบบูสเตอร์ โดส เข็มที่ 3 แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า
มติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติของไทยเรื่องฉีดวัคซีนสูตรผสมที่พัฒนาจากจีนและชาติตะวันตก หรือฉีดบูสเตอร์เข้มที่ 3 กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเมื่อองค์การอนามัยโลก(WHO) ตอนแรกออกมาร้องเสียงหลงว่า “อย่าหาทำ”เพราะค่อนข้างเป็นอันตราย เนื่องจากขณะนี้ยังมีข้อมูลการวิจัยในเรื่องนี้น้อยมาก
“ประชาชนไม่ควรเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเองในการเลือกวัคซีน ผู้ที่สามารถตัดสินได้คือหน่วยงานด้านสาธารณสุข ” ดร.สมยา สวามินาธาน หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ องค์การอนามัยโลกให้ความเห็น
องค์การอนามัยโลกออกมาเตือนอย่างเป็นห่วงเพราะหลังจากโควิด-19 สงบลงได้พักหนึ่งก็กลับมาเพราะระบาดรอบใหม่จากเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา พบว่าผู้ป่วยทั่วโลกเพิ่มต่อเนื่อง4สัปดาห์ อัตราการเสียชีวิตกลับมาเพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้สายพันธุ์เดลตาระบาดกว่า 104 ประเทศอย่างรวดเร็วและคาดว่าจะครองโลกในเวลาไม่นาน วันนี้มาเลเซียเพื่อนบ้านทางใต้ของไทยติดเชื้อทะลุ 1 หมื่นคน/วัน อินโดนีเซียติดเชื้อวันเดียว 48,000 คน ขึ้นอันดับ 1 ของโลกไปแล้ว
การฉีดวัคซีนสลับชนิดดังกล่าวรัฐบาลไทยตัดสินใจเดินหน้าต่อแน่ และไม่ใช่เพิ่งเริ่มทดลองที่ประเทศไทยแต่ประเทศอื่นก็ดำเนินการทำนองเดียวกัน อาทิ เวียดนามฉีด แอสตร้าเซนเนกาเข็มที่ 1 ฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 ซึ่งหวังว่าจะมีผลให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังพอมีหวังในข่าวดีที่รัฐบาลเริ่มฟังเสียงนอกทำเนียบมากขึ้น นอกจากฟังคนรอบข้างที่พาเดินเป๋ออกนอกลู่นอกทางมาหลายครั้ง กล่าวคือคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เตรียมคุมการส่งออกวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาซึ่งเป็นการแก้ปัญหาตรงจุดที่สุด จะช่วยให้มีวัคซีนมากขึ้นในการฉีดป้องกันแก่ประชาชน
คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน จากการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 มีมติให้กรมควบคุมโรค และสถาบันวัคซีนแห่งชาติเร่งจัดหาวัคซีนปี 2564 ให้ได้ 100 ล้านโดส พร้อมเห็นชอบและอนุมัติให้จัดหาวัคซีนอีก 120 ล้านโดส สำหรับปี 2565
นอกจากนั้น ที่ประชุมเห็นชอบหลักการ ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้มาตรา 18 พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ในการกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีนป้องกันโควิดไปภายนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว แต่แทนที่จะเคาะกันออกมาให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำตามสถานการณ์ฉุกเฉิน กลับบอกว่าต้องพิจารณาให้รอบคอบ ต้องไปเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนก่อนแล้วค่อยมานัดประชุมกันอีกครั้ง
ณ ที่นี้ขอเสนอต่อนายอนุทินผู้เคยมีภาพขับเครื่องบินขนส่ง “หัวใจ” และอวัยวะช่วยคนป่วยให้รอดชีวิตมาแล้วหลายราย ว่าประเทศไทยยามนี้ไม่มีเวลามากมายสำหรับการนั่งประชุมไปวันๆ เพราะแต่ละนาทีแต่ละชั่วโมงหมายถึงชีวิตของพี่น้องชาวไทยที่ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่ม วันนี้ประเทศไทยต้องการผู้นำที่รู้จักคิดนอกกรอบและกล้าตัดสินใจเพื่อรักษาชีวิตคนไทยอีกหลายสิบล้านคนที่ยังไม่ได้สัมผัสวัคซีนแม้สักเข็มเดียว
รัฐบาลเคยบอกว่าเป็นบุญของประเทศไทยที่มีโรงงานผลิตวัคซีนอยู่ในประเทศ ปีที่แล้วรัฐบาลได้ให้เงินจากภาษีประชาชนไปอุดหนุนบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์จำนวน 600 ล้านบาท สำหรับการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่กำลังการผลิตเดือนละ 16 ล้านโดส กลายเป็นข้ออ้างให้ต่างชาติไม่ส่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาให้ตามสัญญา 10 ล้านโดสต่อเดือน
ทางแก้ปัญหาไม่ควรจำกัดแค่กำหนดสัดส่วนการส่งออกเท่านั้น แต่หากคิดนอกกรอบ รัฐบาลใส่เงินอีก 1,000 – 2,000 ล้านบาทให้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 20-30 ล้านโดสได้ไหม เท่ากับจ่ายเงินลงทุนให้ก่อนแล้วจ่ายคืนกลับในรูปวัคซีนที่จะได้มากกว่าเดือนละ 10 ล้านโดส เพราะยังไงก็ต้องการวัคซีนเพิ่มในอนาคต นี่เป็นเรื่องที่ต้องเจรจากับแอสตร้าเซนเนกา ไม่ใช่ไปขอร้องแค่จำกัดการส่งออก
“ความมั่นคงด้านวัคซีน” ในพ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มิใช่แค่การเข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม การดำเนินการให้มีปริมาณวัคซีนเพียงพอต่อความต้องการทั้งในสถานการณ์ปกติและในสถานการณ์ฉุกเฉินคือหัวใจของกฎหมายฉบับนี้หากจะใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา