Digiqole ad

วิเคราะห์ทิศทางค่าเงินหลัก EURUSD หลังอัตราเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งไม่หยุด พร้อมกราฟค่าเงิน Forex

 วิเคราะห์ทิศทางค่าเงินหลัก EURUSD หลังอัตราเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งไม่หยุด พร้อมกราฟค่าเงิน Forex
Social sharing

Digiqole ad

สำนักข่าว CNBC รายงานว่าเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด มีการส่งสัญญาณแจ้งเตือนว่าในเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป อาจลดลงเงิน QE ลง ภายหลังจากที่เฟดได้เข้าซื้อพันธบัตรด้วยวงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนนับตั้งแต่โควิดระบาดเมื่อปีที่ผ่านมา โดยข่าวระบุว่าทางการจะลดวงเงินในการเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐลง 1 หมื่นล้าน และวงเงินตราสารหนี้ สินเชื่อที่อยู่อาศัย อีก 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงไว้ที่ระดับเดิมที่ 0.00-0.25%  ทั้งมีการประมาณการปรับลด GDP ของปีนี้ลงเหลือเพียง 5.9% จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 7%

เหล่านี้ล้วนส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น เช่น EURUSD อยู่ที่1.1581 ภายหลังจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ดังจะเห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในปัจจุบันราคาอยู่ที่ 83.00 ดอลลาร์สหรัฐ/บาเรล ส่งผลให้นักลงทุนในตลาด forex ต้องคอยจับตาเป็นพิเศษถึงกรณีการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ในครั้งนี้ ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จากกระทรวงแรงงานของสหรัฐในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้น 0.3% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.4% หลังจากที่เดือนกรกฎาคมมีการปรับตัวขึ้นสูงถึง 0.5% แต่ถึงอย่างไรในภาพรวมถือว่าดัชนี CPI มีการปรับสูงขึ้นนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 เป็นต้นมา

วิเคราะห์กราฟและทิศทางค่าเงิน EURUSD

กราฟฟรีจาก https://th.tradingview.com/chart/EURUSD/nz18a7DS/

จากกราฟจะเห็นว่าในภาพใหญ่เทรนด์ยังเป็นขาลง เนื่องจากราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ แล้วยังทำจุดต่ำสุดใหม่ด้วย ล่าสุดหลุดแนวรับสำคัญแบบมีนัยยะ พร้อม RSI เข้าสู่เขต Over Sold จึงมีแรงรีบาวน์ขึ้นมาได้ แต่ยังคงติดแนวต้านหรือแนวรับเก่าที่หลุดมา ในขณะที่กราฟ Time Frame 60 นาที เหมือนมีแรงพยายามดันขึ้น สังเกตได้จากแทงเทียนแท่งสุดท้ายที่พยายามลากให้ขึ้นไปเหนือ 1.6138 ให้ได้

วิเคราะห์ คู่เงิน EURAUD อีกหนึ่งคู่สกุลเงิน ที่ได้รับความนิยม 

หากมองถึงสภาพเศรษฐกิจระหว่างสองสกุลเงินนี้แล้วจะเห็นถึงความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะในฝั่งยุโรปจะเน้นหนักไปที่สินค้าอุตสาหกรรม ในขณะที่ฝั่งออสเตรเลียเน้นหนักไปที่การเกษตรกรรมและธรรมชาติ เมื่อนำมาจับคู่เงินเพื่อเทรด ความผันผวนหรือการขึ้นลงของราคาจึงมีความผันผวนหรือเคลื่อนไหวค่อนข้างน้อย แต่หากมองในมุมกราฟเทคนิคจะเห็นได้ชัดว่าเทรนของราคาชัดเจนมาก สามารถที่จะลงทุนในระยะยาวและวางแผนด้วยการใช้เทรนไลน์เพียงเส้นเดียวก็สามารถทำกำไรกับค่าเงิน EURAUD ได้แล้ว ซึ่งปัจจุบันค่า EURAUD  อยู่ที่ 1.56021-1.57190 จะเห็นว่าในกราฟแท่งเทียนจุดสูงสุด-ต่ำสุดค่อนข้างแคบมาก ไม่เหมาะสำหรับสายสวิงเทรดและจบในวัน แต่สามารถที่จะวางแผนเพื่อกินคำโตใน Time Frame ที่ใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งปัจจุบันค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงไปมาก นั่นเป็นเพราะข้อมูลและตัวเลขที่น่าผิดหวังจากประเทศเยอรมัน, PMI, คำสั่งซื้อโรงงาน ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างกังวลต่อผลกระทบต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นนับจากการเกิดโรคระบาดโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากธนาคารกลางยุโรปเกี่ยวกับการลด QE และการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้นี้ ในส่วนของนักลงทุนเองต่างคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาดี ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ต่างแข็งค่าซึ่งจะไปกดให้ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงไปอีก เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย โอกาสที่จะกลับไปแข็งค่ากว่าเดิมได้นั้นยังอีกยาวไกล เพราะอย่าลืมว่าเศรษฐกิจของยูโรมีเพียงไม่กี่ประเทศที่เป็นเสาหลักในการขับเคลื่อน เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่าง อิตาลี กรีซ และสเปน ต่างก็ยังประสบปัญหาทางการเงินอย่างที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาหลอกหลอนค่าเงินยูโรอีกหรือไม่

กราฟฟรีจาก https://th.tradingview.com/

จากกราฟด้านบนเป็นกราฟ forex ของค่าเงิน EURAUD จะเห็นว่าทิศทางของราคามีแนวโน้มที่ชัดเจนและมีความผันผวนน้อยมาก สังเกตได้ว่าราคามีการปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2021 จนกระทั่งทำจุดสูงสุดในเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะทิ้งตัวลงและรีบาวน์กลับในเดือนกันยายน แต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านและทำจุดสูงสุดใหม่ได้ จึงทิ้งตัวลงในช่วงที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศลดการทำ QE และจะขึ้นดอกเบี้ยในปีถัดไป แต่ราคา ณ ปัจจุบันเข้าเขต Over Sold นักลงทุนต้องระมัดระวังการดีดตัวกลับของราคาและอาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นการปรับตัวเพื่อขึ้นรอบใหม่ก็เป็นได้ โดยพิจารณาจากพฤติกรรมเดิมๆ ก่อนหน้าในช่วงต้นปีที่ RSI ตกเข้าเขต Over Sold ก่อนที่ราคาจะปรับตัวขึ้นเป็นระยะเวลาถึง 6 เดือน

จับตาค่าเงินหลักฝั่งเอเชีย USDJPY เศรษฐกิจฟื้นจริงหรือไม่

ข้ามมาฝั่งเอเชียกันบ้างสำหรับคู่เงินหลักยอดฮิตไม่แพ้ EURUSD และมีปริมาณการซื้อขายจำนวนมาก โดยปัจจุบันทิศทางและแนวโน้มของค่าเงินเยนยังเป็นบวก เหมือนค่าเงินในแถบตลาด Emerging Market หรือกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทยด้วย โดยทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ที่มีต่อประเทศในภูมิภาคนี้ เริ่มแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2021 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะผันผวนและแข็งค่ามากยิ่งขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมานี้ หลังจากเฟดประกาศหยุดทำ QE ในช่วงไตรมาส 4 ของปี และคาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 แม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาเร็วๆ นี้ก็ตาม แต่ตลาดได้ปรับตัวและรับรู้ถึงสถานการณ์เหล่านั้นแล้ว

กราฟฟรีจาก https://th.tradingview.com/

จากกราฟ USDJPY มีการปรับตัวเป็นทิศทางขาขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2021 ก่อนขึ้นไปเจอแนวต้านที่ระดับ 110.0 ก่อนปรับตัวลงมาและ Side way หรือทำราคาออกข้างในกรอบราคา 108-110 ก่อนเทคตัวผ่านแนวต้านสำคัญไปได้ในช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่เฟดประกาศลดการทำ QE ในไตรมาส 4 นี้พอดีและทำท่าปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรง เห็นได้จากความชันของราคาจน RSI เข้าสู่เขต Over Bought ซึ่งนักลงทุนควรระมัดระวังในการเทรด เพราะอาจเหมือนช่วงเวลาก่อนหน้าก็เป็นได้ (วงกลมสีแดง) แต่ถึงกระนั้นอาจเป็นการย่อเพื่อพักตัวและปรับฐาน ก่อนที่จะ side way ออกข้างเพื่อฟอร์มตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ก็เป็นได้ ทั้งนี้ต้องคอยดูว่าหลังเฟดลดการทำ QE ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ค่าเงินจะมีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากค่าเงินสหรัฐยังคงเดินหน้าทำสถิติเงินเฟ้อและยังไม่มีท่าทีจะลดลง รวมถึงราคาน้ำมันและทองคำที่หลายฝ่ายมองว่าไม่สามารถที่จะทำราคาสูงสุดขึ้นไปได้อีก ถือเป็นการหักปากกาเซียนที่ออกมาวิเคราะห์ก่อนหน้า

ในทางเศรษฐกิจ การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดประเทศญี่ปุ่นและ Emerging Market เนื่องจากค่าเงินที่อ่อนตัวทำให้การส่งออกสินค้าไปประเทศสหรัฐฯ สามารถที่จะแข่งขันในด้านของราคาได้ เพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้มีการส่งออกที่เป็นปัจจัยหลักในระบบเศรษฐกิจ และสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดหลักของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่นนั่นเอง

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อที่สหรัฐอเมริกาและบรรดายักษ์ใหญ่ในยุโรปกังวลนั้น ส่วนหนึ่งมาจากราคาพลังงานที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้สภาวะอัตราเงินเฟ้อยืดเยื้อและนักลงทุนมองว่าสินทรัพย์เหล่านั้นยังเสี่ยงอยู่ จึงหันไปกระจายความเสี่ยงในตลาดเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี ดังจะเห็นได้จากเหรียญ BTC ที่ก่อนหน้านี้ทำราคาที่จุดสูงสุดไว้ที่ 65,000 USD/BTC ก่อนที่จะมีการเทขายอย่างรุนแรง ทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ราคา 29,000USD/BTC จากนั้นค่อยไต่ระดับกลับมาจนสามารถยืนเหนือราคา 60,000USD/BTC ได้ในปัจจุบัน และคาดว่าจะสามารถปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ตราบใดที่เงินเฟ้อยังมีอัตราที่สูงอยู่ แม้รัฐบาลจีนจะออกมาประกาศแล้วว่าการทำธุรกรรมด้วยเหรียญคริปโตฯ จะผิดกฎหมายและห้ามขุด ห้ามซื้อขายกันก็ตาม ทำให้ช่วงเวลานั้นราคาเหรียญคริปโตฯ ทุกชนิดมีมูลค่าลดลง แต่เป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนปรับตัวสูงขึ้นในเวลาต่อมา

สำหรับนักลงทุนท่านใดที่กำลังมองหาโบรกเกอร์มืออาชีพในการเทรดค่าเงินฟอเร็กซ์ หุ้น น้ำมัน ดัชนี เหรียญคริปโตเคอเรนซี  https://www.liteforex.com/ สามารถตอบโจทย์ของนักลงทุนได้ด้วยแพลทฟอร์ม Meta Trader 4 และ 5  หรือ MT4 MT5 โปรแกรมเทรดที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก ทีมงานมืออาชีพที่ให้การช่วยเหลือตลอดเวลา เริ่มต้นเทรดได้แล้ววันนี้ที่ LiteForex

 

 

 

 

Facebook Comments


Social sharing

Related post