Digiqole ad

‘วิภาวรรณ – ศรินญา’สองแม่ทัพหญิง สร้างธุรกิจแข็งแกร่ง 

 ‘วิภาวรรณ – ศรินญา’สองแม่ทัพหญิง สร้างธุรกิจแข็งแกร่ง 
Social sharing

Digiqole ad

ถึงจะเป็นเพียงผู้หญิงแต่บอกเลยว่า มีความแข็งแกร่ง ไม่แพ้ผู้ชายเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการสร้างธุรกิจของครอบครัว ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วย ซึ่งผู้หญิที่กล่าวถึงในที่นี้คือคุณอุ๋ยวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุลแม่ทัพใหญ่แห่งศรีทองพาณิชย์และโรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ  ที่วันนี้ ไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมาพร้อมกับแม่ทัพหญิงคนใหม่คุณรินศรินญา มหาดำรงค์กุลที่จะมาเป็นอีกเรี่ยวแรงสำคัญในการพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้เติบโตต่อไป 

สองแม่ทัพหญิง สร้างความแกร่ง 

คุณอุ๋ยวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล เล่าว่าในวันนี้ ธุรกิจที่เธอรับผิดชอบมีทั้งศรีทองพาณิชย์ผู้นำเข้าและผู้แทนจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ดัง รวมถึง ธุรกิจโรงแรมอีก 3 แห่ง เริ่มจากโรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ โรงแรม เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา ใน พัทยา และ โรงแรม ลิฟ โฮเทล ภูเก็ตในส่วนของศรีทองพานิชย์ วันนี้เราอาจเรียกว่า เป็นธุรกิจที่ดำเนินงานมาแล้วถึง 64 ปี เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2502 และวันนี้ เราได้เริ่มให้คนเจนใหม่ อย่าง ริน และทีมงาน คนรุ่นใหม่ๆ เข้ามามีส่วนในการพัฒนาธุรกิจมากขึ้น เพราะโดยส่วนตัวแล้ว มีความรู้สึกว่าธุรกิจนาฬิกา เป็นอะไรที่ต้องใช้คนรุ่นใหม่ หรือ เด็กรุ่นใหม่ๆ เข้ามาช่วยทำงาน

แม่ทัพใหญ่สุดของทั้งสองธุรกิจ ในเวลานี้บอกด้วยว่า ตัวของเธอเอง ได้ดูแลธุรกิจ ศรีทองพาณิชย์มาแล้วกว่า 23 ปีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ธุรกิจนาฬิกามีการเปลี่ยนไปเยอะมาก เนื่องจากว่าตอนนี้เรามียอดขายผ่านออนไลน์มากขึ้น และนั่นเป็นเหตุผลที่เราถึงบอกว่า เราต้องปรับเปลี่ยนด้วยการนำคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยในธุรกิจ เพื่อให้ทันกับการแข่งขันที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์  ซึ่งในปีที่ผ่านมา โลกออนไลน์ได้เข้ามามีทบาทสำคัญในธุรกิจมากถึง 30-40%” คุณอุ๋ย ย้ำด้วยว่า นอกจากการเปลี่ยนของตัวธุรกิจแล้ว พฤติกรรมของผู้บริโภคเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา 

ขณะที่ทางด้าน คุณรินศรินญา มหาดำรงค์กุล อีกหนึ่งแม่ทัพของธุรกิจ ที่ได้เข้ามาเป็นกำลังสำคัญขององค์กร ในฐานะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ของศรีทองพาณิชย์ ก็เสริมรับคำกล่าวของคุณแม่ถึงการปรับตัวของศรีทองพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมาด้วยว่าเราโชคดีค่ะ ที่มีการปรับตัวมาตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ตอนนั้น เราได้เซ็ตดีพาร์ทเมนท์ในองค์กรของเราใหม่ โดยเฉพาะการตั้งอีคอมเมิร์ซ ขึ้นมา ซึ่งก็ทำให้ธุรกิจของเราเดินหน้าไปต่อได้เร็ว 

เดินหน้าปรับแนวคิด ดึงกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่ม

คุณอุ๋ย ยังบอกด้วยว่า การปรับตัวของศรีทองพาณิชย์ ยังสอดรับกับแนวคิดของแบรนด์นาฬิกาในต่างประเทศ ที่ต้องการให้เกิดการให้เข้าไปปรับการทำงานในด้านการตลาดออนไลน์มากขึ้นโดยทางแบรนด์ในต่างประเทศ แนะนำให้เราเตรียมตัวในเรื่องของการทำแพลตฟอร์ม เพื่อเข้ามาช่วยเสริมการทำงานด้านการตลาดออนไลน์ให้มากขึ้นซึ่งคุณอุ๋ย ยังบอกด้วยว่า จะว่าไปแล้ว ยุคนี้ก็ถือเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมการตัดสินใจ และการใช้ชีวิตตามแนวทางใหม่ๆ 

ขณะที่ทางด้านคุณริน ก็ยอมรับว่า เธอได้คลุกคลี และทำงานกับคุณแม่ด้วยกันมานานกว่า 5 ปีรินจะทำงานคู่กับคณแม่มาตลอด ซึ่งจริงๆ รินเข้ามาทำงานด้วยการเริ่มต้นเข้ามาช่วยดูในธุรกิจโรงแรม เพราะเราจบมาทางด้านโรงแรม แต่มาวันนี้ ก็ได้เข้ามาช่วยงานที่ศรีทองพาณิชย์ อีกหนึ่งธุรกิจ  ตามมุมมองของริน เอาจริงๆ พอเป็นศรีทองพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีมานานมากกว่า 60 ปีแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การปรับภาพลักษณ์ของธุรกิจให้ใหม่ขึ้น ดูทันสมัยขึ้น เพื่อจะได้ไปแข่งกับบริษัทอื่น ๆ ได้ และการมีภาพลักษณ์ที่ดี ก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเราต้องทำงานร่วมกับเมืองนอก ที่คาดหวังกับธุรกิจของเราค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับกลุ่มลูกค้า รินยังมองด้วยวา ศรีทองพาณิชย์ของเรา มีทั้งกลุ่มลูกค้าดั้งเดิม และกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่ยังคงมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ธุรกิจของเรา ขณะที่บริษัทของเรา ก็มีเรื่องราวที่เป็นจุดแข็งอย่างดีอยู่แล้ว ทำให้ไม่ว่าเราจะปล่อยนาฬิกายี่ห้ออะไรออกมา ก็ยังมีลูกค้าทั้งสองกลุ่มให้ความสนใจโปรดักซ์ของเราเรื่อยมา 

กระนั้นก็ตาม คุณอุ๋ย ย้ำว่า แม้วันนี้เราจะมีกลุ่มลูกค้าเก่าให้การสนับสนุนด้วยดี แต่กลุ่มลูกค้าใหม่เราก็ต้องสร้างเพิ่มขึ้นด้วยตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่เราต้องมีการทำตลาดออนลน์ขึ้นมา ยิ่งวันนี้ ลูกค้าหลายท่าน ไม่ได้ซื้อนาฬิกาเพราะกระแสเท่านั้นแต่ก่อนที่ลูกค้าแต่ละท่านจะซื้อนาฬิกานั้น เขาต้องศึกษามาอย่างดีแล้ว และมีความเชื่อมั่นในแบรนด์นาฬิกาแต่ละแบรนด์ด้วย ขณะเดียวกัน เราเองก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ การให้บริการหลังการขายของเราที่ค่อนข้างจะแข็งแรง รวมถึงมีมาตรฐานที่ดีและมีมายาวนาน ซึ่งจุดนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งความสำคัญของ ศรีทองพาณิชย์ ในการสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามาจนถึงทุกวันนี้ 

ใช่ค่ะ การที่เรามีชื่อเสียงมาอย่างยาว อาจไมได้หมานความว่า เป็นภาพลักษณ์ที่ดีเท่านั้น แต่เราเองยังต้องปรับแผนธุรกิจ ให้เป็นข้อความเดียวกัน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ หรือ คนเจนใหม่ มีความเข้าใจตรงกันว่า อะไรเป็นจุดแข็งของศรีทองพาณิชย์คุณริน กล่าวอีกด้วยว่า วันนี้ต้องยอมรับว่า การทำธุรกิจนาฬิกา ค่อนข้างมีความยาก เพราะนอกจากคู่แข่งที่เยอะมากขึ้น เรายังมีคู่แข่ง ที่เป็นสมาร์ทโฟน และ สมาร์ทวอช ซึ่งเรียกว่าเป็นคู่แข่งหลักของเราก็ว่าได้ ดังนั้น แบรนด์นาฬิกาที่เราเลือกเข้ามาจำหน่ายในประเทศนั้น เราต้องเลือกแบรนด์ ที่มีความโดดเด่น ทั้งประวัติ และมีคาแล็คเตอร์นตัวเองที่ชัดเจน และข้อสำคัญที่สุด นาฬิกาที่นำเข้ามานั้น จะต้องมีราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายด้วย โดยเฉพาะ ในกลุ่มตลาดกลาง ที่เรามีฐานลูกค้าอยู่ในมือคอนข้างมากทีเดียวซึ่งหลังจากที่คุณริน กล่าว ทางด้านคุณแม่อุ๋ย ก็แอบกระซิบด้วยว่า ในเร็วๆ นี้ ทางศรีทองพาณิชย์ กำลังมองหาแบรนด์นาฬิกาใหม่ๆ ที่มีความโดดเด่น และมีคาแล็กเตอร์ ใหม่ๆ เข้ามาอีก 2-3 แบรนด์ ซึ่งอาจจะได้เห็นกันในปีหน้าแน่นอน 

การทำตลาด ของแม่ทัพคนใหม่ 

สำหรับแนวทางการทำตลาดในธุรกิจนาฬิกาของแม่ทัพคนใหม่ อย่างคุณรินนั้น คุณแม่อุ๋ย เปิดเผยให้ทีมงานบางกอกทูเดย์ ทราบด้วยว่า อาจจะมีความแตกต่างไปจากรุ่นของคุณปู่ และของตัวคุณแม่ในสมัยของคุณปู่ ท่านก็จะเน้นไปที่ความคงทนของนาฬิกา โดยสมัยนั้น ท่านนำรถขนดินมาขับทับนาฬิกากันเลย เพื่อให้ดูว่า นาฬิกาจะมีความคงทนมากแค่ไหน หรือ บางที ก็จะนำนาฬิกาลงไปผัดในกระทะร้อนๆ กันเลยก็มี เรียกว่า เป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้าอยู่ไม่น้อยทีเดียว 

คุณอุ๋ยยังเล่าถึงการทำตลาดในแบบฉบับของตัวเองด้วยว่าพอมาในยุคของเรา ก็จะเน้นทำการตลาดตามแผนการของทางแบรนด์เมืองนอก โดยเฉพาะการใช้นักแสดงเข้ามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งก็ได้รับฟิจแบกจากลูกค้าไม่แพ้กัน แต่สำหรับในยุคของคนรุ่นใหม่ ก็ต้องปล่อยให้นินเขาคิดและตัดสินใจเองค่ะ 

ทางด้านคุณริน กล่าวเสริมต่อจาคุณแม่ ด้วยว่าในยุคนี้ ถือเป็นยุคที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ง่านขึ้น ซึ่งทำให้การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับ คุณภาพของนาฬิกาเอง ที่เราเองต้องรู้จริงก่อนถึงจะพูดออกไป เพราะวันนี้ มีทั้งการรีวิว และมีการใช้งานจริง จึงต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เราจะมาพูดเพื่อการโฆษณาอย่างเดียวไม่ได้แล้ว นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าในแต่ละกลุ่ม ก็มีความแตกต่างค่อนข้างเยอะ เราจึงต้องมีการทำความเข้าใจในตัวโปรดักซ์ก่อน และต้องรู้ด้วยว่า แต่ละแบรนด์มีแนวทางแบบใด 

เช่นเดียวกับการเก็บข้อมูลของกลุ่มลูกค้า คุณริน ย้ำว่า วันนี้ เรามีข้อมูลลูกค้าอยู่ค่อนข้างมากข้อมูลของลูกค้าแต่ละคน ทำให้เราเข้าใจว่า ลูกค้าของเราเป็นใคร เขาชอบอะไร จากนั้นเราจะนำข้อมูลเหล่านี้ กลับมาวิเคราะห์ และนำไปสรุปเพื่อเป็นแนวทางด้านการตลาดของบริษัทของเราต่อไป 

ภาพของ ศรีทองพาณิชย์ในอนาคต 

เมื่อถามถึงภาพอนาคตของศรีทองพาณิชย์ เป็นอย่างไร คุณรินย้ำอย่างหนักแน่นว่าศรีทองพาณิชย์ เป็นแบรนด์ธุรกิจ ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ซึ่งเราก็อยากให้ธุรกิจนี้ อยู่คู่ประเทศไทย และอยู่ในวงการนาฬิกาต่อไป เพราะตั้งแต่สมัยคุณปู่ และคุณแม่ ต่างก็บริหารงานมาเป็นอย่างดี และสร้างชื่อเสียงจนมีลูกค้าเยอะมาก ถ้าหากมองแนวทางของการทำธุรกิจ รินก็อยากให้ศรีทองพาณิชย์ ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปเรื่อยๆ สืบทอดต่อไปอีกหลายๆ รุ่น 

นอกจากธุรกิจ ศรีทองพาณิชย์ แล้ว อีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่พูดถึง ไม่ได้เลยก็คือ ธุรกิจโรงแรม ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งงาน ที่สองแม่ทัพหญิง รับผิดชอบดูแล โดยคุณอุ๋ย เล่าถึงธุรกิจโรงแรมในวันนี้ว่า วันนี้ เธอก้าวขึ้นมาดูในส่วนของภาพใหญ่ ตลอดจนดูไปถึงแนวทางของบริษัท ที่จะขยายภาพไปในทิศทางไหนด้วยในส่วนของโรงแรม ก็จะมีการเข้าร่วมประชุมใหญ่เดือนละครั้ง รวมไปถึง ดูว่ามีโอกาสที่จะขยายธุรกิจไปได้อย่างไร รวมไปถึงการไปดูแลธุรกิจในจังหวัดที่มีโรงแรมของเราตั้งอยู่ อย่างน้อยก็เดือนละครั้ง ซึ่งธุรกิจโรงแรมนี้ เรามองว่า เป็นอีกธุรกิจที่เราน่าจะมีการขยายออกไปอีกในอนาคต 

สำหรับคุณริน เธอเล่าว่า จะดูแลในส่วนของการทำงานแบบวันต่อวันรินคิดว่า โชคดีมากค่ะ ที่ได้อยู่กับคุณแม่ และมาทำงานคุณแม่ รวมถึงมีการพูดคุยหารือกันตลอดเวลา เลยเหมือนกับว่า เราคอยอัพเดท งานด้วยกันตลอด ส่วนภาพของธุรกิจโรงแรมวันนี้ รินคิดว่า ทุกอย่างได้ฟื้นตัวมากขึ้น และฟื้นขึ้นกลับไปดีกว่าก่อนโควิด ซึ่งส่วนหนึ่งของการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วดังกล่าว น่าจะมาจากความอัดอั้นของคน ที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านในช่วงโควิด รวมถึงวันนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คนก็เริ่มมองโควิด กลายเป็นเรื่องปกติแล้ว 

เทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงในธุรกิจโรงแรม

ทว่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ ผู้บริหารสาวท่านนี้ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจที่แตกต่างไปจากเดิม ก็คือ เทรนด์การจัดงานแต่งงาน ที่มีไซส์เล็กลง ต่างจากอดีต ที่มักมีการจัดงานที่ใหญ่โต ซึ่งสอดรับกับมุมมองของคุณอุ๋ย ที่ยอมรับว่าก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด โรงแรมสวิส โซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ ของเรา มีการจัดงานแต่งงานใน 1 ปี ถึง 270-400 งาน หรือแทบจะมีทุกวันก็ว่าได้ และแต่ละงาน ก็เป็นการจัดงานไซส์ใหญ่ ๆ เกือบทั้งหมด แต่พอหลังเกิดโควิด เทรนด์การจัดงาน ก็มีไซส์ที่เล็กลงไปมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการจัดเลี้ยงเฉพาะแขกผู้ใหญ่ หรือ ญาติสนิทเท่านั้น 

คุณริน ยังกล่าวด้วยว่า วันนี้ เราจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการให้บริการของทางโรงแรมตามไปด้วยแต่ก่อนโรงแรมแต่ละแห่ง ค่อนข้างจะมีความเข้มงวด และมีหลักเกณฑ์อยู่ค่อนข้างมาก แต่วันนี้ เราพยายามที่จะปรับเปลี่ยนตัวของเราเอง ให้สอดรับกับโจทย์ความต้องการที่ลูกค้าต้องการมากขึ้น เราจะมาอยู่ในกรอบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว ต้องฉีกกรอบออกมา เพื่อให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้า อย่างการจัดงานแต่งงาน เขาอาจจะไม่จัดงานในห้องจัดเลี้ยง แต่จะเป็นการมาจัดบนชายหาดบ้าง หรือไม่ก็จัดในห้องอาหารภายในโรงแรมแทนมากขึ้น 

คุณรินบอกด้วยว่า ไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดงานแต่งงาน แต่ในส่วนของห้องพักโรงแรม ก็มีการปรับเปลี่ยนเช่นกันวันนี้ คนรุ่นใหม่หลายคน มีความเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ค่อนข้างมาก ทำให้เวลาเช้าพักในโรงแรม ก็จะมีการถ่ายรูปอวดกัน และก็ทำให้ห้องนอน ไม่ได้มีไว้เพื่อแค่การพักผ่อนอีกต่อไป แต่ยังต้องมีพร็อพเข้ามาตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อให้ทุกคนได้ถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆ กัน 

สำหรับการขยายธุรกิจโรงแรม ทางด้านคุณอุ๋ย ยอมรับว่า มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจแน่นอนจากเดิมที่เรามีอยู่แล้ว 3 แห่ง อย่างที่รู้กัน ในอนาคตก็มีแนวโน้มที่อาจจะขยายธุรกิจออกไปอีก เพราะถือเป็นความฝันที่เราตั้งใจอยากจะทำอยู่แล้ว ซึ่งเราอยากจะขยายธุรกิจโรงแรมออกไปทางจังหวัดภาคใต้ แถบภูเก็ต กระบี่ และพังงา รวมถึงจังหวัดที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการท่องเที่ยว เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาในประเทศไทย 

ความคาดหวังธุรกิจในอนาคต 

อย่างไรก็ดี วันนี้สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองนักบริหารหญิง มีความคาดหวังจากการดำเนินธุรกิจ คือความสำเร็จ ที่เกิดขึ้น และการสืบทอดธุรกิจทั้งสองธุรกิจให้เดินหน้าอย่างมั่นคงสิ่งสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจคือ การมองหาคนที่จะมาสานต่อธุรกิจ และสืบทอดธุรกิจนี้ให้อยู่กับครอบครัวต่อไปคุณอุ๋ย กล่าวและเสริมด้วยว่า แต่สิ่งที่ยากที่สุดในยุคนี้ก็คือ การแข่งขันที่รุนแรง และมีเพิ่มสูงขึ้นมากคนเจนใหม่วันนี้ ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึน ซึ่งเราก็ต้องศึกษากลุ่มเป้าหมาย ทั้งธุรกิจแบรนด์นาฬิกา และ โรงแรม ที่สะท้อนภาพลักษณ์ ให้คนทั่วโลกได้เห็น 

นอกจากนี้ เรายังต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการทำงาน ที่เน้นไปที่กลุ่มออนไลน์ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่เราต้องการ ซึ่งก็อาจต้องพึ่งพากลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำการตลาดแนวทางใหม่ แต่สำหรับตัวเองแล้ว มีความคาดหวังว่า ในการทำธุรกิจอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจ และการตัดสินใจก็จะเป็น คีย์แมสเซสของความสำเร็จในการทำธุรกิจคุณอุ๋ย กล่าวถึงความคาดหวังในตัวของผู้บริหารสาว อย่างคุณรินด้วยว่าเชื่อว่า รินจะรู้ว่า อะไรคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะเราสองคน ทำงานใกล้ชิดกันมาตลอด ซึ่งวันนี้ พี่เองก็วางใจมากขึ้น ที่จะเอาธุรกิจไปวางไว้บนมือของริน และคิดว่า รินน่าจะบริหารงานได้ดีไม่แพ้กัน 

ขณะที่ตัวของคุณริน ก็ยอมรับว่า เธอทำงานใกล้ชิดคุณแม่มามากกว่า 5 ปีคุณแม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของริน มาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ แม้วันนี้ตัวของรินจะรู้สึกว่า ยังไม่ได้เก่งอะไรเยอะ แต่ก็โชคดีที่มีคุณแม่ เป็นเหมือนเมนเทอร์ คอยอยู่กับเราใกล้ๆ และคอยประคับประคองเราไปตลอด ที่สำคัญ คุณแม่ยังเปิดโอกาสให้เราทำงานอย่างเต็มที่ คิดและตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ เลยทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของการทำงานเลยค่ะถือเป็นคำกล่าวยืนยันที่คุณรินศรินญา มหาดำรงค์กุล มีต่อคุณแม่อุ๋ยวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล ในการสานต่อธุรกิจ ศรีทองพาณิชย์ และธุรกิจโรงแรมทั้งหมดที่มีอยู่ ให้เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเติบโตอย่างสง่างามต่อไป 

 

Facebook Comments


Social sharing

Related post