มหาดไทยล็อคท้องถิ่นซื้อวัคซีน อ้าง “เหลื่อมล้ำ”หรือกลัว “เกินหน้า” ตีค่าชีวิตต่ำกว่าเกมการเมือง
ตั้งแต่ปลายปี 2563 ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ไม่ว่าจะเป็นเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) เมืองพัทยา หรือ แม้แต่กรุงเทพมหานคร(กทม.) จำนวนรวมหลายสิบองค์กรมองว่าในภาวะที่เชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดตั้งแต่ระลอกแรกโดยยังไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมได้เพราะรัฐบาล และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ทำให้เกิดความล่าช้าและความเละเทะในการบริหารจัดการวัคซีนนั้น ต่างแสดงความต้องการจะจัดซื้อจัดหาวัคซีนด้วยงบประมาณของตนเองมาฉีดให้แก่ประชาชนในพื้นที่เพื่อป้องกันและลดการติดเชื้อ อันจะเป็นผลดีต่อการดำเนินชีวิตตามปกติและสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
จริงอยู่ที่อปท.ทั่วประเทศที่มีอยู่ 7,850 แห่ง จะมีสถานะแตกต่างกันโดยเฉพาะสถานะการคลัง แต่ก็มีเทศบาลเมือง เทศบาลนครหลายแห่งที่ประกาศความพร้อมเรื่องงบซื้อวัคซีน อบจ.หลายแห่งอยากเร่งแก้ปัญหาเพราะประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบจากมาตรการฉุกเฉิน อบต.หลายแห่งบอกจะร่วมลงขันกันจัดซื้อแล้วเอามาจัดสรรกันในพื้นที่ ขณะที่บางแห่งให้เหตุผลว่ารับไม่ได้กับภาพผู้ป่วยหนักที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตวันละ30-40 คน
นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกอบจ.นครปฐมกล่าวว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา อบจ.นครปฐมไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการสนับสนุนงบประมาณไปในส่วนของการจัดสร้างและพัฒนาโรงพยาบาลสนามในจังหวัดนครปฐมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดหาวัคซีนต้องรวดเร็วทั่วถึง แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามระเบียบของกฎหมายที่อนุญาตให้เราทำได้ ในช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเหตุการณ์ปกติเราต้องทำงานหนักกว่าที่เคยทำ เพราะจังหวัดนครปฐมยังมีการติดเชื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีพื้นที่ติดกับกรุงเทพมหานคร
หรือกรณีที่พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกอบจ.ปทุมธานี กล่าวว่าการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนในพื้นที่จะช้าไม่ได้ ชีวิตคนปทุมธานีมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้นทุกวันจึงต้องรีบจัดหาวัคซีน จะเดินตามไวรัสมันไม่ทันเราต้องรีบป้องกัน
นักการเมืองท้องถิ่นที่สัมผัสความเป็นจริงจะมองประชาชนเป็นหลัก แต่นักการเมืองที่มาจากการแต่งตั้งจะมองจากส่วนกลางเป็นหลัก กระทรวงมหาดไทยภายใต้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการ จึงปฏิเสธเรื่องอปท.จะจัดซื้อวัคซีนเองว่าทำไม่ได้ตั้งแต่ต้น โดยอ้างถึง “คำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน” ที่แจ้งมายังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถจัดซื้อวัคซีนป้องกัน โควิด-19 เพื่อฉีดให้ประชาชนได้
คำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน ลงนามโดย พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ขอให้กระทรวงสาธารณสุขและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชน หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เตรียมจัดซื้อวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้รับทราบและเข้าใจว่า ในระยะแรกนี้ หน่วยงานภาครัฐเท่านั้นที่จะดำเนินการจัดซื้อและบริหารจัดการวัคซีน และกระจายวัคซีนตามแผนบริหารจัดการวัคซีนเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและเพื่อให้สามารถติดตามอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังการได้รับวัคซีน จึงยังไม่สามารถให้ภาคเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 กับผู้ผลิตวัคซีนโดยตรง”
ช่วงที่อ้างผู้ตรวจการแผ่นดินทำให้การเคลื่อนไหวของอปท.ซาลงไป แต่เมื่อราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ประกาศนำเข้าวัคซีนตัวเลือก “ซิโนฟาร์ม” และพร้อมจะจำหน่ายให้องค์กรต่างๆเพื่อนำไปฉีดแก่ประชาชน อปท.หลายแห่งเห็นเป็นโอกาสและทางออกที่จะขับเคลื่อนต่อ แต่ก็ถูกนักกฎหมายของรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยออกมาเบรกอีกว่ายังทำไม่ได้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไปตรวจสอบก็จะผิด เพราะใช้เงินผิดประเภท ดังนั้นต้องทำให้ถูกประเภทเสียก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยอนุญาตและออกเป็นกฎระเบียบก่อน ซึ่งต่างกับกรณีบริษัท ปตท. และสภาอุตสาหกรรมฯที่ซื้อด้วยเงินของหน่วยงานตนเอง
อย่างไรก็ตาม นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ออกมาเคลียร์เรื่องนี้ว่า รัฐบาลและศบค.ควรจะสื่อสารให้ประชาชนไม่สับสน ในสถานการณ์ปัจจุบันมีความจำเป็นต้องจัดหาและฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ดังนั้น ไม่ว่า อปท. หรือภาคเอกชนที่จะเข้ามาช่วยรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่ดีและควรต้องเร่งดำเนินการ
“ การเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องนั้น สตง. พร้อมให้คำแนะนำหรือเป็นที่ปรึกษาให้หากดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง” นี่คือคำกล่าวของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่ทำให้คนที่เอาไปอ้างลอยๆต้องรีบหุบปากทันที