Digiqole ad

‘ปราโมทย์ แสงศร’ ความฝันในธุรกิจภาพยนตร์ไทย 

 ‘ปราโมทย์ แสงศร’ ความฝันในธุรกิจภาพยนตร์ไทย 
Social sharing

Digiqole ad

เมื่อนึงถึงภาพจำในอดีตกับโฆษณเครื่องดื่มน้ำดำรสซ่าแบรนด์หนึ่ง ใครจะเชื่อว่า หนุ่มน้อยในวัยเรียน ที่เป็นส่วนหนึ่งในโฆษณาครั้งนั้น ในวันนี้จะพัฒนาตัวเองขึ้นมา จนกลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์คนในหนึ่งในวงการธุรกิจภาพยนตร์ไทย 

ปราโมทย์ แสงศร ที่มีดีกรี เป็นถึง นักแสดง นักร้อง และผู้กำกับหนังสั้นที่มีผลงานและรางวัลการันตีมาอย่างมากมาย รวมถึงยังเป็นอาจารย์พิเศษวิชาภาพยนตร์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่าให้บางกอกทูเดย์ฟังว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขายังคงทำงานอยู่ในวงการบันเทิง ไม่ได้หายไปไหนอาจจะดูเงียบๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังมีผลงานออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ครับ ซึ่ง 1-2 ปีที่ผ่านมา ก็มีงานแสดงอย่างซีรี่ส์ ตี๋ใหญ่ ทางช่องโมโน 29 หรือ จะเป็นภาพยนตร์เรื่อง ขุนแผนฟ้าฟื้น และล่าสุดกำลังมีผลงานทางเน็ตฟลิกซ์ ที่ใกล้จะออกอากาศในเร็วๆ นี้ 

หาประสบการณ์สร้างไอเดีย

นักแสดงหนุ่มเล่าด้วยว่า อาจจะมีเหมือนกันที่เขาหายไปช่วงหนึ่งซึ่งช่วงนั้น ผมได้มีโอกาสออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ในต่างประเทศ ออกเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อหาไอเดียการทำหนังนอกกระแส ขณะเดียวกัน ตอนนั้นผมยังได้รับทุนคานส์ เรสิเดนส์ ที่ผมต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในฝรั่งเศส นานถึง 5 เดือน เพื่อเรียนรู้เรื่องของการเขียนบท 

ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่า ผมจะได้รางวัลทุนคานส์หรอกครับ เพราะมีคนที่ส่งผลงานเข้าไปเพื่อรับการคัดเลือกจากทั่วโลกกว่า 1,000 คน มารู้อีกที ก็ตอนที่ทางผู้ให้ทุน ประกาศรายชื่อเหลือเพียง 9 คนเท่านั้น และก็มีผม และเพื่อน ซึ่งเป็นคนไทย 2 คน ที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบการสัมภาษณ์เพื่อให้เหลือเพียง 6 คน 

หนุ่มโมทย์บอกว่าหลังจากสัมภาษณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็มานั่งลุ้น เพราะทางเจ้าของทุนแจ้งว่า จะโทรศัพท์มาแจ้งด้วยตัวเองว่า ใครผ่านเข้ารอบบ้างผมจำได้ว่าคนที่ผ่านเข้ารอบ 9  คนนั้นมี คนจีน 3 คน คนเยอรมัน ฮังการี รัสเซีย ยูเครน และคนไทย 2 คน คือผมกับเพื่อนที่ชื่อกานต์ (ศิวโรจน์ คงสกุล)” 

รางวัลทุนคานส์ เรสซิเดนส์ 

กระทั่งมีเสียงดังของโทรศัพท์ดังขึ้น ซึ่งหนุ่มโมทย์ เล่าว่า เป็นเสียงโทรศัพท์ของเพื่อนที่ชื่อกานต์เรานั่งอยู่ด้วยกันครับ ซึ่งพอกานต์บอกว่า เขาผ่านการคัดเลือกให้ได้รางวัลทุนคานส์แล้ว ผมก็ใจหล่นไปเลย เพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสแล้ว แต่สักพักใหญ่โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมา แล้วเสียงที่คุ้นหูก็แจ้งมาว่า ผมก็ได้รับทุนคานส์ เช่นกันหนุ่มโมทย์ บอกว่า ตอนนั้นเขารู้สึกนิ่งเงียบไป ก่อนที่จะตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉยมากๆผมตอบแบบนั้นจริงๆ กระทั่งทางปลายสายก็ถามผมว่า ไม่รู้สึกดีใจหรืออย่างไร ตอนนั้นถามว่าดีใจไหม ก็ดีใจนะครับ แต่ก็พูดอะไรไม่ออกมากกว่า

ส่วนเหตุผลที่ทำให้นักแสดง และผู้กำกับหนุ่มของไทยคนนี้ ได้รับการคัดเลือก เจ้าตัวเล่าตามมุมมองที่สังเกตเห็นว่า ในช่วงการพูดคุย และการสัมภาษณ์ ทางเจ้าของทุนอาจดูจากทัศนคติ และนิสัยของแต่ละคนเขาไม่ได้บอกผมนะ ว่าเขาเลือกแต่ละคนเข้ารับทุนอย่างไร และเขาก็คงไม่ได้มองแค่ผลงานที่ส่งไปให้ดูเท่านั้น แต่อาจจะมองที่ความเชื่อมั่นของตัวเรา รวมถึงแนวคิดในการทำหนัง และความเป็นไปได้ที่จะเอามาทำได้จริงมากแค่นไหน 

ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ที่จะมาเติมเต็มความฝัน ให้กับนักแสดงหนุ่มคนนี้วันนี้ ผมก็ยังคสู้เพื่อความฝัน กับการสร้างหนังสักเรื่องขึ้นมาโดยแนวทางหนังของนักแสดงหนุ่มคนนี้ เขาอธิบายว่า เป็นหนังที่มีเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของชีวิตที่ผสานกับสิ่งที่เหนือความเป็นจริง ซึ่งวันนี้ยังคงต้องลุ้นให้ความฝันของนักแสดงหนุ่ม ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์คนนี้เป็นจริงในเร็ววัน 

ภาพยนตร์ไทยกับการก้าวสู่ระดับสากล

อีกเรื่องหนึ่งที่เรียกว่า ต้องถามผู้กำกับภาพยนตร์อนาคตไกลคนนี้ เพื่อเป็นแนวทางให้คนรุ่นใหม่ๆ ที่อยากก้าวเข้าสู่ธุรกิจภาพยนตร์ได้เรียนรู้กัน นั่นคือ มุมมองเกี่ยวกับภาพยนตร์ไทยในวันนี้ผมมองว่า ก็วันนี้การทำภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ก็คงต้องมีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ไม่ต่างจากในต่างประเทศ แต่หากเทียบการสร้างภาพยนตร์ระหว่างไทย และในต่างประเทศนั้น ค่อนข้างจะต่างกัน ซึ่งในต่างประเทศ ทั้งคน และเจ้าของโรงหนังต่างๆ มีการเปิดรับภาพยนตร์ในหลากหลายแนว แต่หากถามว่า ประเทศไทยเปิดรับแนวคิดดังกล่าวไหม ผมก็ว่าเปิดรับนะ แต่ยังไม่เปิดกว้างเหมือนในต่างประเทศ 

ปราโมทย์ แสงศร เล่าว่าในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปเขามีพื้นที่ หรือ โรงหนังเล็กๆ มากมายเพื่อให้คนทำหนังรุ่นใหม่ มีโอกาสโชว์ผลงานของตัวเองขณะที่ประเทศไทยของเรา ส่วนใหญ่ก็จะเน้นฉายหนังที่เป็นกระแส ซึ่งผมก็เข้าใจนะครับว่า เจ้าของโรงหนังหลายๆ เจ้า ก็ต้องการรายได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็อยู่ไม่ได้ เรียกว่า หากหนังของคุณดีจริง มีคนอยากดู เจ้าของโรงหนังเขาก็พร้อมที่เปิดรอบให้คุณฉายได้ 

การเปิดรับภาพยนตร์นอกกระแส

ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นที่การฉายภาพยนตร์เท่านั้น คนในบ้านเรา ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ธุรกิจภาพยนตร์ในประเทศ เติบโตได้มากน้อยแค่ไหนด้วยวันนี้คนไทยที่เปิดรับหนังแนวใหม่ๆ ของผู้กำกับหน้าใหม่ ยังมีอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่ยังคนเน้นดูหนังที่เป็นกระแสมากกว่า และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังไทยดีๆ ที่เป็นหนังนอกกระแสหลายๆ เรื่องพยายามถีบตัวเองออกไปฉายในต่างประเทศซึ่งหนุ่มโมทย์ ก็ยังรับว่า นั่นเพื่อเป็นการไปสร้างชื่อให้กับหนัง และตัวของคนสร้างหนังเพราะเมื่อไรก็ตาม ที่หนังเรื่องใด ได้รับรางวัล หรือกลายเป็นกระแสในต่างประเทศ เมื่อกลับมาเมืองไทย ผลงานเหล่านั้นก็จะถูกจับตามอง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการทำหนังเรื่องต่อๆ ไป และชื่อเสียงก็ได้กลายเป็นแรงดีงดูดที่ทำให้คนหันมาสนใจในหนังของคนๆ นั้น 

หนุ่มโมทย์ บอกด้วยว่า วันนี้ ภาพยนตร์ไทยหลายๆ เรื่องที่มีโอกาสไปสร้างชื่อในต่างประเทศหนังไทยหลายเรื่องในวันนี้ เรียกว่า มีการพัฒนาและเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ โดยเฉพาะหนังสั้นหลายๆ เรื่องของคนทำหนังรุ่นใหม่ ก็ไปคว้ารางวัลกันมาก็ไม่น้อยทีเดียวแต่สำหรับคนที่อยากไปลองหาประสบการณ์ในต่างประเทศ แล้วมองว่า คานส์ ใหญ่เกินไป หนุ่มโมทย์ ก็แนะนำด้วยว่า ลองมองหาประเทศที่เปิดโอกาสให้คนทำหนังได้แสดงฝีมือที่อื่นๆ และดูว่าผลงานของตัวเองเหมาะกับที่ใด เพราะบางประเทศเขาก็นิยมหนัง หรือภาพยนตร์แนวที่แสดงให้เห็นมุมมืดของชีวิต ขณะที่บางประเทศชอบแนวภาพยนตร์สยองขวัญ ตรงนี้ก็ต้องดูให้เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด 

อย่างไรก็ดี ส่วนเด็กรุ่นใหม่ ที่อยากเข้ามาอยู่ในธุรกิจภาพยนตร์ หรือ วงการบันเทิง หนุ่มโมทย์ยังบอกเคล็ดลับด้วยว่าวันนี้ เด็กไทยหลายๆ คนมีความเก่งในตัวเอง โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือ และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามา เพื่อช่วยทำให้ผลลัพท์ที่พวกเขาต้องการออกมาได้อย่างตรงใจมากที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กรุ่นใหม่ยังขาดไปก็คือ การออกไปใช้ชีวิตให้มากขึ้น ซึ่งผมหมายถึง การออกไปรู้จักความเป็นมนุษย์ให้มากขึ้น หากจะถามผมว่า จะกำกับหนังให้ดีที่สุดได้อย่างไร ตรงนี้ผมคงไม่รู้กรอก เพราะแต่ละคนต่างก็มีไอเดีย และแนวทางของตัวเอง การทำหนังไม่มีหนึ่งสองหรือสาม เหมือนหลักคณิตศาสตร์ แต่หากเราได้รู้จักความเป็นมนุษย์ในแต่ละประเภทได้แล้ว ผมว่า ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเลย ที่จะทำหนังดีๆ ออกมาสักเรื่อง แต่ทั้งนี้ การทำความรู้จักความเป็นมนุษย์ อาจต้องใช้ระยะเวลานานสักหน่อยเท่านั้นปราโมทย์ แสงศร ที่ให้นิยามกับตัวเองว่า ยังคงเป็นมนุษย์ที่เรียนรู้มนุษย์ไปเรื่อยๆ กล่าวทิ้งท้ายในการพูดคุยกับหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ 

Facebook Comments


Social sharing

Related post