ประเทศไทยต้องชนะ
วันสุดท้ายหลังอภิมหาสงกรานต์ 2564 ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกมาแถลงข่าวแบบน้ำท่วมทุ่งในสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอก 3 นั้น จดจำได้คำเดียวว่า “ประเทศไทยต้องชนะ”
เพราะขัดแย้งกับความรู้สึกที่ว่า ประเทศไทยถูกทำให้ “พ่ายแพ้” ตั้งแต่ปี 2557 ที่นายทหารกลุ่มหนึ่งรวมหัวกันยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
แม้จะมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ แม้จะจัดให้มีการเลือกตั้งในปี 2562 แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นที่เข้าใจกันดีว่าเป็นเพียงกระบวนการสืบทอดอำนาจการเมืองที่มีเป้าหมายอยู่ยาว 20 ปี โดยกลุ่มผู้ยึดอำนาจหน้าเดิมคณะเดิมยังคงมีบทบาทในการคุมนักการเมืองและข้าราชการ
การบริหารบ้านเมืองจึงเป็นไปแบบเดิมๆตลอด 7 ปี เหมือนบริหารงานในค่ายทหารที่ใช้พระเดชเป็นหลักคือ นายคิด นายพูด นายสั่ง ลูกน้องฟัง รับนโยบายไปปฏิบัติ ไม่ต้องถามไม่ต้องเถียง
ทั้งๆที่การบริหารงานบ้านเมืองนั้นมีสารพัดเรื่องสารพัดปัญหา เพราะเป็นงานดูแลทุกข์สุขประชาชนเกือบ 70 ล้านคน ที่ต้องใช้ความเมตตา ความยุติธรรม
ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญวิกฤตการณ์ใหม่อย่างการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต้องผสมผสานวิชาการแพทย์ กับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และการบริหารบ้านเมืองในยามวิกฤติ รัฐบาลที่ขาดมืออาชีพจึงตัดสินใจพลาดแล้วพลาดอีก ปล่อยให้เกิดการระบาด 3 ระลอกในช่วงเวลาเพียง 1 ปีเศษ
เหตุระบาดสำคัญมาจากสนามมวยที่ทหารคุม บ่อนที่เชื่อมโยงนักการเมืองและคนมีสี ขบวนการขนแรงงานต่างด้าวของคนมีสี คลับที่นักการเมืองเข้าไปเที่ยว
ระบาดครั้งแรกหลักสิบหลักร้อยแต่รัฐบาลสั่งล็อคดาวน์ทั้งประเทศพร้อมประกาศเคอร์ฟิวจนเศรษฐกิจพินาศทั้งระบบ ต้องกู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาทมาเยียวยาความเสียหายแก่ประชาชน
ระบาดรอบสองที่ตลาดกลางกุ้งมหาชัย จากแรงงานพม่าเถื่อนจากชายแดนยังเอาไม่อยู่ แต่ผู้นำรัฐบาลหูเบาเชื่อนักการเมืองและข้าราชการสอพลอที่รับออร์เดอร์จากนายทุน อยากจะสร้างผลงาน อยากจะเปิดประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย-เทศ สร้างรายได้พลิกฟื้นเศรษฐกิจ
ปล่อยเที่ยวสงกรานต์ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าจะทำให้เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แทนที่จะขอความร่วมมือให้ประชาชนงดเที่ยวสงกรานต์ งดเดินทางอีกสักปี ก็ไม่ทำ
หรือวิธีการที่ง่ายสุด ได้ผลที่สุดในการป้องกันการแพร่ระบาดคือสั่งห้ามจำหน่ายสุรา เบียร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อย่างที่สั่งในปี 2563 ซึ่งได้ผลสองต่อทั้งลดการชุมนุมสังสรรค์ ทั้งลดสถิติเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุเจ็บและดับนับร้อย
แต่ความเกรงใจนายทุนใหญ่ของประเทศว่าจะเสียรายได้ จะเก็บภาษีลดลงเพราะ “คลังถังแตก” อยู่แล้ว กลัวคอเหล้าจะด่า เลยปล่อยจำหน่ายตามปกติ และทำแค่มาสั่งร้านหาอาหารห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ในภายหลัง
ถึงตอนนี้งานถนัดของรัฐบาลคือซื้อความพอใจจากผู้มีรายได้น้อย เตรียมแจกเงิน “เราชนะ เฟส 3” อีกคนละ 7,000 บาท รวมเบ็ดเสร็จละเลงอีก 2.43 แสนล้านบาท
บริหารประเทศแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่..ประเทศไทยจะชนะ?