Digiqole ad

‘นิติ – ประพาส กิจกำจาย’ ผู้บริหาร 2 รุ่น ผสานแนวคิดเดียวกัน 

 ‘นิติ – ประพาส กิจกำจาย’ ผู้บริหาร 2 รุ่น ผสานแนวคิดเดียวกัน 
Social sharing

Digiqole ad

เป็นที่ทราบกันดีว่า คนรุ่นก่อน และคนรุ่นใหม่ ต่างมีแนวคิดและการทำงานที่แตกต่างกัน ทำให้บางครั้งอาจเห็นความขัดแย้งในการทำงานอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับ บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด เจ้าของแบรนด์รองเท้าลำลองชื่อดังแกมโบล” (GAMBOL) ต้องบอกเลยว่า คน 2 รุ่น ต่างทำงานกันได้อย่างเข้าขา และกำลังจับมือกันก้าวไปสู่การเติบโต เพื่อกลายเป็น โกลบอลแบรนด์ ต่อไป 

ส่งต่อแนวคิดคนสองรุ่น 

นิติ กิจกำจาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด เปิดเผยว่า จริงๆ แล้ว เขาก็ยังไม่แน่ใจว่า อยู่ในช่วงเจน 1 หรือ เจน 2 ของธุรกิจเพราะผมเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว ทำให้มีอายุห่างจากพี่ๆ หลายสิบปีอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากผมถูกปลูกฝังการใช้ชีวิต และ การทำงาน จากพี่ๆ รวมถึงคุณพ่อ และคุณแม่ มาพอสมควร ทำให้แนวคิดในการทำงานส่วนหนึ่งถูกนำมาใช้ในการบริหารธุรกิจ ที่เป็นการสานต่อมาจากพวกพี่ ๆ แต่ในขณะเดียวกัน วันนี้เริ่มมีรุ่นหลานที่เรียนจบมาแล้ว เข้ามาช่วยทำงานด้วย เลยทำให้เริ่มมีแนวคิดที่ต่างออกไป ตามยุคสมัย 

อย่างคนรุ่นเจนหนึ่ง ก็จะมีความคิดในการเน้นการทำงาน ที่ไม่สร้างหนี้ ไม่กู้เงินเพื่อการลงทุน แต่จะเน้นเป็นการสะสมรายได้ พอมีรายได้แล้ว จึงนำมาลงทุนเพิ่มอีกที ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะสมัยก่อน คู่แข่งในธุรกิจไม่ค่อยเยอะ ก็สามารถประคับประคองและทำให้บริษัทค่อยๆ เติบโตต่อเนื่อง 

ด้านประภาส กิจกำจาย ผู้จัดการฝ่ายขายออนไลน์ (Online Manager) กล่าวเช่นกันว่า การเปลี่ยนแปลงขององค์กรแห่งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงโควิดที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่เรามีการเปลี่ยนปลงอย่างชัดเจนที่สุด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้านจริงๆ ทั้งเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้บริหารเจนหนึ่ง อย่างคุณพ่อ และคุณอา หลายคน เริ่มปล่อยให้คนรุ่นใหม่อย่างผม และน้องๆ เข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจและรับผิดชอบในหน้าที่การงานที่มากขึ้น 

จะว่าไปแล้ว คนเจนหนึ่ง ก็เรียกว่า มีข้อดีนะครับ เพราะผมเองก็เติบโตมาโดยได้เห็นคุณพ่อ และคุณอา ทำงานอย่างหนักกันมาตลอด และเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ผมมองว่า เราเองจะต้องเข้ามาช่วยสานต่อธุรกิจอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งที่เราเห็น การทำงานของคุณพ่อ และเราพยายามนำมาเป็นแบบอย่าง ก็คือ ความอดทน ขยันทำงาน และสู้ไม่ถอยผู้จัดการฝ่ายขายออนไลน์ ย้ำ

จุดเด่นของคนสองเจน 

ซีอีโอ บิ๊กสตาร์ กล่าวถึงความโดดเด่นของคนสองเจน เพิ่มเติมด้วยว่าถ้าเป็นพี่ๆ ของผม เขามีความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน ที่บอกเลยว่า แม้แต่เจนสอง ยังสู้ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน คนเจนสอง ก็มีข้อดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ การใช้ข้อมูลการตลาด ที่สามารถค้นหาได้ในโซเชียล ใช้อ้างอิง แทนการคาดเดา ซึ่งนี่ถือเป็นข้อแตกต่างของคนสองเจน นอกจากนี้ เทคโนโลยี ยังเรียกได้ว่ามีส่วนสำคัญ ที่บางครั้งคนเจนหนึ่ง อาจจะยังไม่มีความเข้าใจดีพอ หรือมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้มากนัก ขณะที่คนรุ่นเจนสอง อาจมีความได้เปรียบในเรื่องนี้มากกว่า ทำให้เกิดประสิทธิภาพ และศักยภาพในการทำงาน ตลอดจน ยังเป็นส่วนสำคัญ ที่จะมาช่วยกำหนดต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็รวมไปถึงการช่วยลดต้นทุนในการทำงานหลายด้านลงไป 

ผู้จัดการฝ่ายขายออนไลน์ ย้ำด้วยว่า เทคโนโลยี ช่วยทำให้เราสามารถหาข้อมูลได้รวดเร็ว และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ขณะที่คนรุ่นก่อน อาจจะใช้ความรู้ และประสบการณ์มาเป็นตัวตัดสินใจในการทำงาน ซึ่งปัจจุบัน การมีข้อมูลที่ดี ทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและเข้าเป้ามากขึ้น และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่เรานำมาใช้เหล่านี้ ทำให้พิสูจน์ให้เห็นถึงผลลัพท์ที่ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เรารู้สึกมั่นใจ กับการทำงาน รวมถึงคนรุ่นก่อน ก็ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเราในการทำงาน อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการเรียนรู้ร่วมกันของคนสองเจนก็ได้ครับ 

ความขัดแย้งทางความคิด 

นิติ กิจกำจาย ยอมรับว่า การขัดแย้งทางความคิดระหว่างคนสองรุ่น เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยเจนสอง อาจจะโดนปลูกฝังในเรื่องของความอาวุโส ทำให้บางครั้งอาจจะไม่ได้แสดงออกในความคิดเห็นที่ขัดแย้งสักเท่าไร อาจจะใช้เหตุผลเป็นการอธิบายมากว่า แต่สำหรับผม อยู่ในฐานะก้ำกึ่งระหว่างคนสองรุ่น ก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเอง และมุ่งมั่นในงานที่ทำ เพื่อให้พี่ๆ เห็นว่า สิ่งที่เราคิดนั้น เราสามารถทำได้ และประสบความสำเร็จได้จริง แต่วันนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ในช่วง 1-2 ปีนี้ ทางผู้บริหารเจนหนึ่ง ปล่อยให้เรามีการตัดสินใจ และทำอะไรใหม่ๆ มากขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการดำเนินธุรกิจ

เป้าหมายแกมโบล 

สำหรับเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ แกมโบล ซีอีโอ บิ๊กสตาร์ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นคนเจนหนึ่ง หรือ เจสอง สิ่งหนึ่งที่คนสองรุ่นนี้ เหมือนกันก็คือ การสร้างแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน แต่ก่อน พี่ๆ ของผม อาจจะใช้วิธีการสร้างแบรนด์แบบลองผิดลองถูก ส่วนใหญ่มักเน้นไปที่เรื่องของการทำอย่างไรให้สินค้าที่เราผลิตออกมาขายได้มากที่สุด โดยไม่ได้มองที่ความต้องการของตลาด รวมถึงไม่ค่อยมองเรื่องเทรนด์ หรือ ดีไซน์สักเท่าไร แต่สำหรับเจนสอง เขามีการนำข้อมูลมาปรับใข้ในการทำการตลาดมากขึ้น ซึ่งก็จะช่วยให้การสร้างแบรนด์ หรือการออกแบบรองเท้า มีการพัฒนาไปมาก ขณะเดียวกัน ก็ยังช่วยมองหาช่องทางการตลาด และการขาย รวมถึงมีการโฟกัสกลุ่มป้าหมายที่ตรงจุดมากขึ้น 

ใช่ครับ ผมก็มีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของการเติบโตทางธุรกิจ ไปพร้อมกับการสร้างแบรนด์ ซึ่งวันนี้ เรามีข้อมูล มีเทคโนโลยี ที่เข้ามาช่วยสนับสนุน ทำให้สินค้าที่เราผลิตออกมาตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจน ตอบโจทย์การทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยผู้จัดการฝ่ายขายออนไลน์ กล่าวสนับสนุน พร้อมย้ำด้วยว่าเราจะทำงานไม่ได้เลย หากไม่มีเจนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจ และในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังมีความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือกลุ่มดีลเลอร์ ที่ค่อนข้างเหนียวแน่น และความแข็งแกร่ง ที่เรายังคงต้องยึดถืออยู่ด้วย 

ภาพแกมโบลในอนาคต

ส่วนภาพของแบรนด์แกมโบล ในมุมมองของทั้งสองเจนวันนี้ ซีอีโอ บิ๊กสตาร์ กล่าวว่าวันนี้ เราพยายามขยายสินค้าของเราออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะ ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย ในกลุ่มตลาด CLMV ที่เรียกว่า มีการตอบรับสินค้าของเราค่อนข้างดี อย่าง กัมพูชา และ เวียดนาม ถือเป็นตลาดสำคัญที่มาช่วยทำให้ธุรกิจของเรารอดพ้นจากวิกฤตโควิดที่ผ่านมา 

ด้วยคำว่า Made in Thailand ทำให้แบรนด์แกมโบล ของเราถูกมองเทียบชั้นเป็นแบรนด์ระดับอินเตอร์ ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ เลยทำให้เราสามารถรุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น รวมถึง เมื่อเราสื่อสารอะไรออกไป ก็มักจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ถือเป็นแนวคิดที่ทำให้เรามองไปถึงการก้าวไปสู่ตลาดระดับโลก ที่ใหญ่ยิ่งขึ้น 

รายได้จากตลาดกัมพูชาเวียดนาม 

ซีอีโอ บิ๊กสตาร์ แอบกระซิบด้วยว่าในช่วงที่ประเทศไทยมีการล็อกดาวน์ อันเนื่องจากวิกฤตโควิด กัมพูชา และ เวียดนาม ถือเป็นตลาดที่ทำให้ธุรกิจของเรามีรายได้ชดเชยกลับมาทดแทนรายได้ที่เราขาดหายไปในประเทศ วันนี้ ผมจึงมองว่า หากเราปูทางตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV ได้เข้มแข็งมากขึ้นแล้ว เราก็สามารถขยายตลาดของเราออกไปได้อีกไกลมากขึ้น อย่างวันนี้ เราก็มีตลาดใน ดูไบ และ รัสเซีย อยู่ด้วย ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ ก็ถือเป็นตลาดที่ดีของเราเหมือนกัน 

ผู้จัดการฝ่ายขายออนไลน์ ยังพูดด้วยว่าผมอยากให้เรากลายเป็น โกบอลแบรนด์ ซึ่งเราอยากให้ไปถึงจุดนั้นสักวัน แต่วันนี้เราเองก็ต้องค่อยๆ ขยับ เพราะตอนนี้ เรามีเซกเมนท์ใหม่ๆ ขึ้นมา และเราก็ต้องศึกษาให้ด้วยว่า แต่ละประเทศ มีการใช้งานสินค้าอย่างไรด้วย เพื่อให้เกิดการตอบโจทย์ที่ตรงใจที่สุด และยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะมารองรับการเป็นโกบอลแบรนด์ของเราต่อไป วันนี้ เราจึงมีแนวคิด ปรับ Internal ของเรา ให้เป็น International ให้มากขึ้น 

ความร่วมมือครั้งสำคัญ

วันนี้สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นการเปลี่ยนแปลง ของแกมโบล อย่างชัดเจนเลยคือ การจับมือกับสโมสรฟุตบอล ลิเวอร์พูล และ อินฟลูเอนเซอร์ อย่าง เจมมี่เจมส์ ซึ่งคุณนิติ กิจกำจาย ยอมรับว่า นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการเดินไปบนเส้นทางเพื่อให้แกมโบล ของเรา ก้าวไปสู่การเป็น โกบอลแบรนด์การซื้อลิขสิทธิ์สโมสรฟุตบอล ลิเวอร์พูล เป็นส่วนหนึ่งของการตอกย้ำให้ทุกคนเห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ และฝีมือของเราในการขยับเข้าใกล้ตลาดโลกมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอีกกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะ กลุ่มคนรักกีฬา ที่อย่างน้อยก็เป็นการช่วยขยายตลาดไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ 

เช่นเดียวกับการจับมือกับ เจมมี่ เจมส์ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่ไม่เพียงจะทำให้เราได้รู้จักกับกลุ่มแฟนคลับมากขึ้นแล้ว เรายังได้ร่วมมือกับทาง เจมมี่ เจมส์ ออกแบบรองเท้าที่เป็นดีไซน์แฟชั่น ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายใหม่ได้มากขึ้น ส่วนในอนาคต เราจะมีแผนร่วมมือกับสมาคมใด หรือ อินฟลูเอนเซอร์ รวมถึง ดาราคนไหน อีกหรือไม่นั้น ก็อาจจะมีแน่นอน เพราะเรามองว่า พวกเขาคือคนที่จะมาเชื่อมต่อความสำเร็จ ให้กับแบรนด์รองเท้าของเราต่อไป 

อย่างไรก็ดี ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 แกมโบลมีอัตราการเติบโตไปแล้วกว่า 10% หรือหากคิดเป็นมูลค่าของยอดขาย จะอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท ขณะที่ ทางซีอีโอ ยอมรับว่า เราได้ตั้งเป้ายอดขายอยู่ 1,300 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ ในปีหน้าแกมโบล ได้ตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ที่ 1500 ล้านบาท ซึ่งก็ถือเป็นอีกความท้าทายทางธุรกิจ ที่วันนี้ แกมโบล กำลังพยามสร้างความสำเร็จ ให้ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ 

Facebook Comments


Social sharing

Related post