Digiqole ad

ถนนทุกสายนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศ

 ถนนทุกสายนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศ
Social sharing
Digiqole ad

เมื่อเร็วๆนี้ Karin Vazquez นักวิชาการชาวบราซิล ซึ่งเป็นทั้งนักวิจัยของศูนย์วิจัย BRICS มหาวิทยาลัยฟูตัน ประเทศจีนและรองคณบดีมหาวิทยาลัย  O.P. Jindal Global ประเทศอินเดีย ได้เผยแพร่บทความชื่อดังเรื่อง “ถนนทุกสายนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศ” ลงในหน้า “มุมมอง BRICS” ของหนังสือพิมพ์ Folha de S.Paulo ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายสูงที่สุดของบราซิลและอเมริกาใต้

บทความดังกล่าวตีพิมพ์ออกมาในขณะที่“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนที่4ของบราซิลกำลังเข้ารับตำแหน่ง โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อผิดพลาดจากนโยบายที่ไม่ให้ความร่วมมือกับประเทศที่ไม่ใช่ชาติตะวันตก เช่นประเทศจีน ทำให้สถานการณ์วัคซีนของบราซิลตกอยู่ในความยากลำบาก และเป็นการตักเตือนบราซิลให้ระแวดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการร่วมมือกับสหรัฐ อเมริกาและบริษัทวัคซีนอเมริกา

พร้อมกันนั้นยังรับรองถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือของ “วัคซีนจีน” และประโยชน์สำคัญจากการร่วมมือกับประเทศจีน ทั้งในด้านวัคซีนและสัญญาณ 5G โดยบทความนี้เรียกร้องให้รัฐบาลบราซิลเพิ่มความร่วมมือระหว่างประเทศกับประเทศที่ไม่ใช่ชาติตะวันตก รวมถึงประเทศจีน ในด้านของวัคซีนเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเดิมๆและเป็นการขยายความร่วมมือด้านวัคซีนระหว่างประเทศอีกด้วย

ผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนที่ 3 ของบราซิลถูกไล่ออกในระยะเวลาไม่ถึงปี ซึ่งเป็นเวลาที่สถานการณ์ COVID-19 ในบราซิลย่ำแย่ที่สุดอีกด้วย รัฐบาลและสังคมบราซิลควรเผชิญหน้ากับปัญหาและคิดว่าอะไรคือสิ่งที่จะมาพลิกสถานการณ์ได้กันแน่? ผู้เขียนเชื่อว่าสาเหตุหลักของปัญหามาจากรัฐบาลบราซิลขาดด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ทำให้เกิดอุปสรรคในการรับมือกับการแพร่ระบาดและการได้รับวัคซีนบ่อยครั้ง

บทความดังกล่าวยังวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจที่ไร้เหตุผลของผู้นำบราซิลที่ให้การสนับสนุนสหรัฐอเมริกาและต่อต้านประเทศจีนในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและจัดการปัญหาด้านวัคซีน บทความกล่าวว่า ” ปี 2020 ประธานาธิบดีโบลโซนาโรของบราซิล (ไม่สังกัดพรรค) ต่อต้านวัคซีนทุกประเภทอย่างชัดเจนโดยเฉพาะวัคซีนที่ผลิตในประเทศจีน ซึ่งพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของบราซิล (สหรัฐอเมริกา และฝ่ายต่อต้านจีนของบราซิล เป็นต้น) ได้โจมตีประเทศจีนครั้งแล้วครั้งเล่า และเชื่อว่าประเทศจีนเป็นตัวการของการแพร่ระบาดครั้งนี้

โบลโซนาโรถึงกับกล่าวว่ารัฐบาลบราซิลจะไม่ซื้อวัคซีนจากประเทศจีนและจะระงับกระบวน การขึ้นทะเบียนวัคซีนที่หน่วยกำกับบริหารกรมสาธารณะสุขแห่งชาติ (Anvisa) อีกด้วย”

ผู้เขียนยังเชื่อว่า “ประสบการณ์ที่ผ่านมาระหว่างบราซิลกับจีนและอินเดียแสดงให้เห็นว่า หากบราซิลไม่แสวงหาความร่วมมือ แต่ทำผิดพลาดซ้ำๆ จะทำให้บราซิลต้องใช้ความพยายามทางการทูตเพิ่มมากขึ้น และสูญเสียทรัพยากร เงินทุนของรัฐ และแม้แต่ชีวิตมากขึ้นไปอีก”

บทความนี้เรียกร้องให้รัฐบาลบราซิลก้าวออกจากกรอบของสหรัฐอเมริกา และสร้างความร่วมมือแบบวินวินกับซัพพลายเออร์วัคซีน เช่น จีน อินเดีย อิสราเอล และรัสเซียผ่านการเจรจาที่เท่าเทียม ถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของบราซิล

บทความดังกล่าวยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงในการต่อสู้กับโรคระบาดและผลเสียต่อรัฐบาล หากไม่ยอมร่วมมือกับประเทศจีน โดยกล่าวว่า “มกราคมที่ผ่านมานี้ ประเทศจีนจำเป็นต้องชะลอการส่งมอบวัสดุที่จำเป็นสำหรับการผลิตวัคซีนให้สถาบันวิจัยบูตันตันของบราซิล รัฐบาลกลางบราซิลถึงยอมหยุดกล่าวโจมตีประเทศจีน และเมื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยงของการหยุดผลิตวัคซีน โบลโซนาโรก็สนับสนุนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด”

 

บทความดังกล่าววิพากษ์วิจารณ์คำกล่าวเท็จของบราซิลเกี่ยวกับวัคซีนซิโนแวคของประเทศจีน รวมทั้งเปิดเผยเจตนาและการกระทำในการต่อต้านประเทศจีนของสหรัฐอเมริกาและบริษัทไฟเซอร์

ตัวอย่างเช่นผู้เขียนวิเคราะห์ว่า“การให้ความความร่วมมือกับประเทศจีนนอกเหนือจากการได้รับวัคซีนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องแล้ว บราซิลยังจะได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีอีกด้วย ซึ่งเมื่อรวมกับนโยบายสาธารณะและการลงทุนระยะยาว จะทำให้บราซิลมีเงื่อนไขพร้อมสำหรับการเอาชนะการพึ่งพิงระบบการนำเข้าวัคซีน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการกีดกันโดยบริษัทยารายใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งร่วมมือกับรัฐบาลกลางบราซิล ทำให้เห็นว่ามันคงเป็นไปไม่ได้”

บทความนี้ยังชี้ให้เห็นอีกว่า”สถานการณ์การคุยกับบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐอเมริกามีความแตกต่างไป ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าบริษัทซิโนแวคของประเทศจีน หรือสถาบันเซรุ่ม ประเทศอินเดียต้องการให้รัฐบาลบราซิล  รับผิดชอบผลจากการกระทำอันประมาทเลินเล่อ ฉ้อโกงหรือมุ่งร้าย และยังไม่มีรายงานว่า รัฐบาลบราซิลมีการละเมิดข้ออื่นใด ในสัญญาการขายวัคซีน”

Facebook Comments

Related post