ดิจิทัล วอลเล็ต 5 แสนล้าน ‘ผ่าทางตัน’หรือ‘ดันทุรังแจก’
เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมาตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากพรรคเพื่อไทย พยายามผลักดันมาตลอด 7 เดือนที่ขึ้นดำรงตำแหน่งในการทำคลอดนโยบาย “แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แก่ประชาชน 50 ล้านคน” ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากนักวิชาการ เสียงเตือนจากนักกฎหมาย และเสียงจากประชาชนที่แสดงความห่วงใยต่ออนาคตของชาติบ้านเมือง ต่อการที่พรรคการเมืองที่แพ้การเลือกตั้งแต่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะนำเอาเงินภาษีของคนทั้งประเทศมาทำการแจกจ่ายเพื่อสร้างคะแนนนิยมต่อตนเองและพรรค แต่สุ่มเสี่ยงต่อสถานะการคลังและอาจเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติที่จะตามมา
ดังนั้นจึงต้องติดตามและบันทึกรายละเอียดการแถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ 10 เมษายน 2567 ที่นายเศรษฐา นำทีมแถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ตว่าลงตัวแล้วตามตัวบทกฎหมาย อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยจะพร้อมเปิดให้ลงทะเบียนช่วงไตรมาส 3 และแจกเงินในไตรมาส 4 ปีนี้
“นโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและกระจายไปยังทุกพื้นที่ เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยกระดับการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ ที่จะเกิดการลงทุนขยายกิจการ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงานสร้างอาชีพและเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะได้รับผลการตอบแทนคืนมาในรูปแบบภาษี เป็นการเตรียมความพร้อมประเทศให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจ เป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย 1.2-1.6%” นายเศรษฐากล่าว
สำหรับที่มาของเงินจำนวน 5 แสนล้านบาทซึ่งตอนแรกรัฐบาลบอกว่าจะกู้แล้วถูกท้วงว่าอาจจะผิดวินัยการเงินการคลังนั้น ได้มีการแจ้งว่าไม่ต้องกู้แล้วเพราะกระทรวงการคลังสามารถบริหารจัดการผ่านกระบวนการงบประมาณได้ทั้งหมด โดยเป็นการจัดสรรงบประมาณในปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท งบประมาณปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท และเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)จำนวน 172,300 ล้านบาท เพื่อดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกรจำนวน 17 ล้านคน
แนวทางและรายละเอียดในการแจกเงินดิจิทัลสรุปกันอีกครั้งคือ 1.คนไทยอายุ16 ปีขึ้นไป มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน หรือไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี มีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท 2. กำหนดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กรวมถึงร้านสะดวกซื้อ 3. ห้ามซื้อสุรา เบียร์ บุหรี่ น้ำมัน บริการ และสินค้าออนไลน์ 4. จะมีการจัดทำระบบซูเปอร์ แอพพลิเคชั่น ของรัฐบาล ให้ประชาชนและร้านค้าเข้าลงทะเบียนภายในไตรมาสที่ 3 และเริ่มใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567
ตัวตึงที่ติดตามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ของรัฐบาลมาโดยตลอดและเคยทำนายไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำแล้วว่ารัฐบาลจะหาทางออกเช่นนี้คือน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ตั้งข้อสังเกตว่ายังไม่เห็นรายละเอียดของแผนงาน แต่ผลกระทบที่จะตามมาคือ หนี้สาธารณะ เอาเฉพาะการขยายวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2568 หนี้สาธารณะขึ้นไปอยู่ที่ 67% แล้ว ยังมีภาระดอกเบี้ยแต่ละปี เพิ่มเป็น 11% ของรายได้ เท่ากับเก็บภาษีมาเท่าใดก็เอาไปจ่ายดอกเบี้ยหมด
ศิริกัญญาบอกด้วยว่าเป็นคอขวดที่สำคัญที่รัฐบาลต้องก้มหน้ารับไป และยิ่งใช้เร็วก็น่าจะยิ่งดี ยิ่งไปกินเงินงบประมาณในส่วนอื่นๆไปอีกระยะหนึ่ง รัฐบาลชุดต่อไปที่จะต้องมาแบกรับภาระหนี้ต่ออยู่แบบคอหอยแล้ว อีกนิดเดียวจะชนเพดานที่70 % แล้ว นี่ขนาดเป็นกู้สาธารณะเพียงแค่งบ 2567 และงบ 2568 ยังไม่นับรวมกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งไม่ได้อยู่ในหนี้สาธารณะก็จริง แต่สุดท้ายก็ยังต้องใช้เงินงบประมาณในการใช้คืนหนี้อยู่ดี ฉะนั้นนอกเหนือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ยังมีเรื่องภาระที่แฝงมาด้วย หลังจากที่ทำโครงการดิจิทัล วอลเล็ต
หากย้อนไปก่อนหน้านี้นอกจากน.ส.ศิริกัญญาแล้วยังมีนักวิชาการอีกหลายท่านที่ตั้งข้อสังเกตุถึงความพยายามผลักดันนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลเศรษฐาว่า เหมือนไม่ทำการบ้านมาก่อน เหมือนไม่พยายามเรียนรู้บทเรียนที่เคยมีในอดีตทั้งของไทยและต่างประเทศ
เพราะนี่ไม่ใช่การแจกเงินครั้งแรกในไทย แต่ได้แจกมาแล้วหลายครั้งหลายยุคสมัยในรูปแบบและชื่อเรียกต่างๆ เช่น โครงการเงินผันสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร โครงการเช็คช่วยชาติ แจกคนละ 2,000 บาท สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาเพื่อเป็นการรับกับสภาวะเศรษฐกิจไทยที่หดตัว เนื่องจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปี 2551 รวมไปถึงโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน”ซึ่งเป็นมาตรการเยียวยาช่วงเกิดโควิด-19 สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมื่อศึกษาผลที่ได้รับจากการแจกเงินในอดีตพบว่าผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น จากการอัดฉีดเงินไม่ได้สูงอย่างที่รัฐบาลแต่ละชุดได้โม้เอาไว้ กล่าวคือตัวคูนในการแจกเงินนั้นอยู่แค่ 0.4 – 0.5% ซึ่งไม่ได้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจแบบที่รัฐบาลบอกกล่าวกับประชาชนแต่อย่างใด
หากมองในแง่ดีการที่รัฐบาลตัดสินใจเลิกกู้ หันกลับมาใช้เงินงบประมาณประจำปีแม้จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้จะเป็นการใช้งบประมาณข้ามปี แม้จะดึงเงินจากธ.ก.ส.มาใช้ แต่ถือว่ายังมีที่มาชัดเจน มีกลไกที่สามารถติดตามตรวจสอบได้ทั้งในด้านป้องกันการทุจริตและตรวจวัดประสิทธิผล
แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเห็นว่าเหตุผลเดิมของรัฐบาลที่อ้างวิกฤติเศรษฐกิจ แท้จริงเป็นสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวตั้งแต่ทำรัฐประหารปี 2557 พอมาเจอโควิด-19 เจอสงครามรัสเซีย-ยูเครน เจอสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อาการสะดุดหยุดชะงักนั้นเป็นไปทั่วโลก ประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ สถานะทางการเงินของประเทศยังแข็งแกร่งต่างกับวิกฤติค่าเงินบาทปี 2540 แม้GDPปี 2566 จะลดลงจากปี 2565 ขยายตัวแต่ 1.8% แต่กระทรวงการคลังก็คาดว่า GDP ปี 2567 จะกลับมาขยายตัวที่ 2.8% และจะมากกว่านั้นหากมีการแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท
ถึงยังไงก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลและความจำเป็นในการแจกเงิน 5 แสนล้านบาท เพียงหวังกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เบียดบังงบประมาณที่ควรจะทำในระยะยาวในอนาคต เหมือนรูดบัตรเครดิตเต็มวงเงินแล้วต้องผ่อนจ่ายใช้หนี้ หากเกิดวิกฤติในยามคับขันย่อมแทบไม่เหลือวงเงินให้รูด
การที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ร่วมนั่งแถลงข่าวกับนายกฯเศรษฐาและข้าราชการกระทรวงการคลังย่อมสะท้อนจุดยืนของธนาคารกลางไทยว่า ไม่สนับสนุนนักการเมืองที่คิดง่ายๆกับการแจกเงินประชาชนเพื่อสร้างโลกสวยว่าช่วยคนจน เศรษฐกิจจะฟื้น คนทั้งประเทศจะลืมตาอ้าปาก เพราะปลายทางสุดท้ายของเงิน 5 แสนล้านบาทก็ไหลไปอยู่ที่นายทุนขาใหญ่นั่นแหละ