จบแล้วครับบอส! ปิดฉากThe iCon เปิดฉากล้าง“สคบ.”
คดี “แม่ตั๊กและป๋าเบียร์” หลอกขายทองปลอมจนถูกจับข้อหาฉ้อโกงประชาชน เงียบหายไปเลยและกลายเป็นคดีเล็กๆเมื่อเทียบกับคดี The iCon Group ของบรรดา “บอส”ทั้งหลายที่ถูกสื่อต่างๆร่วมกันขุดคุ้ยข้อเท็จจริงว่ามีพฤติกรรมเข้าข่าย “แชร์ลูกโซ่” ที่สร้างความร่ำรวยแก่บรรดาเหล่าบอส แต่สร้างความเสียหายแก่ประชาชนจำนวนมากเพราะการหลอกลวงฉ้อโกง จนถูกตำรวจออกหมายจับและอายัดทรัพย์ในเวลาอันรวดเร็ว
การทำงานของตำรวจในยุคบิ๊กต่าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ถือว่าเอาจริงเอาจังไม่อิดเอื้อนกลัวเกรงอิทธิพลใดๆ เป็นผลให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ บก.ปคบ.ได้โชว์ผลงานทลายอาณาจักรธุรกิจที่เข้าข่าย “องค์กรอาชญากรรม” ที่ดำเนินงานท้าทายกฎหมายมาหลายปี เพราะมีแบ็คดีจากอิทธิพลทางการเมือง กับข้าราชการที่คอยรับใช้นักการเมืองกับนักธุรกิจแทนที่จะรับใช้ประชาชน
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจเปลี่ยนตัวนักการเมืองที่เคยฝังรากสร้างอิทธิพลคุมกระทรวง เปลี่ยนตัวข้าราชการที่ยึดกุมกฎหมาย ขยะที่เคยซุกไว้ใต้พรมหรือตามซอกมุมก็เริ่มถูกเปิดให้เห็น ดังเช่นกรณี The iCon Group บริษัทธุรกิจออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมียอดขายมหาศาลนับพันล้านบาทภายใต้การบริหารงานของ“บอสพอล” นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซึ่งสามารถดึงเอาดาราดัง พิธีกร นักขายชั้นนำ เข้ามาร่วมสร้างอาณาจักร จนสามารถสร้างสมาชิกได้หลายแสนคนทั่วประเทศ
แต่ปราสาททรายไม่ใช่กำแพงเมืองจีน หลังจากรายการ “โหนกระแส”ของหนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอยจุดพลุถึงความไม่ชอบมาพากลของธุรกิจThe iCon Group และสื่ออื่นรวมถึงบรรดาทนายชื่อดังร่วมขุดคุ้ยถึงความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้มีผู้เสียหายแห่แจ้งความตำรวจ ปคบ. นำมาสู่การดำเนินคดีผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งดำเนินธุรกิจขายตรงแบบไฮบริดเข้าข่าย “แชร์ลูกโซ่” เจอข้อหาหลอกลงทุนและหาลูกข่ายมาเป็นสมาชิกโดยไม่ได้ขายสินค้าจริง และใช้ศิลปินดาราช่วยประชาสัมพันธ์
วันนี้ The iCon Group ถูกแก้ผ้าล่อนจ้อนว่าคือธุรกิจที่ขายฝันแก่ผู้ที่อยากเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เริ่มต้นชักชวนผู้สนใจเข้าอบรมออนไลน์ราคาถูกไม่ถึง 100 บาท ขายดารา ขายอินฟลูเอนเซอร์ ขายความน่าเชื่อถือ ไม่ได้เน้นขายสินค้า ผู้หลงเชื่อยอมทดลองควักเงิน 2,500บาท เมื่อเหยื่อกินเบ็ดยอมเพิ่มเป็น 25,000 บาท เมื่อถูกสะกิดต่อมความโลภก็ยอมทุ่มจ่าย 250,000 บาท หรือมากกว่านั้น ยอมแบกสต๊อกสินค้าโดยอาจยังไม่รู้ว่าสินค้าคืออะไรจะขายได้กำไรเมื่อไร
บอสกันต์ กันต์ถาวร พิธีกรชื่อดังที่คนรู้จักทั้งประเทศ ขึ้นเวทีThe iCon Group ประกาศว่ามิใช่พิธีกร แต่เป็นผู้บริหาร แสดงให้เห็นถึงการทุ่มสุดตัวกับองค์กรนี้ว่าดีเลิศประเสริฐศรี แต่พอเกิดปัญหาขึ้นมาแถลงข่าวแก้ตัวว่าเป็นแค่แบรนด์แอมบาสเดอร์มีหน้าที่โปรโมทสินค้าให้ทางบริษัทเท่านั้น
บอสแซม ยุรนันทร์ ภมรมนตรี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ ของThe iCon Group เคยโฆษณาว่ามีประสบการณ์จากการเปิดโรงพยาบาลที่เยอรมนี วันนี้ปฏิเสธว่าไม่มีบทบาทในการบริหารบริษัท
บอสมิน พีชญา วัฒนามนตรี ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร The iCon Group เคยประกาศบนเวทีว่า “ไม่ใช่แค่พรีเซนเตอร์ แต่มินตัดสินใจเข้ามาเป็นบอสมินของครอบครัวดิไอคอน กรุ๊ป” ความสวย ความมีชื่อเสียง การพูดจาที่ฉะฉานสามารถสร้างแรงดึงดูดใจผู้คนให้มาเข้าร่วม แต่วันแถลงข่าวบอกว่าเป็นแค่พรีเซนเตอร์ เพิ่งได้ยินว่ามีปัญหา มีผู้เสียหาย ตกใจและสงสารมาก อยากยืนเคียงข้างประชาชน
บอสแต่ละคนที่เอ่ยนามไม่ได้ยากจน ล้วนเหลือกินเหลือใช้ ไม่ใช่เด็กหรือเยาวชนที่อ่อนต่อโลก บางคนเข้าสู่ผู้สูงวัย ทุกคนยอมให้ The iCon Group เอาหน้าขึ้นป้ายโฆษณาทั่วประเทศ เอายิงโฆษณาในสื่อโซเชียลที่เข้าถึงผู้บริโภคทุกระดับ สะท้อนว่าทุกคนล้วนเห็นแก่เงิน มีความโลภ มีแล้วอยากมีอีกมากๆ อยากเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้าน โดยทำเป็นมองข้ามไปหรือไม่เคยสงสัยเลยหรือว่า เงินค่าตอบแทนที่ได้รับนั้นมาจากไหน มาจากการขายสินค้า จากกำไรของผลประกอบการ หรือจากการหลอกลวงแฟนคลับ จากการเกลี้ยกล่อม จากการเป่าหูให้หลงเชื่อ ซึ่งเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนหรือไม่
ส่วน“บอสพอล” ในวันที่ไปออกรายการโหนกระแส คนที่ดูรายการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดราม่าตุ๊กตาทอง”แสดงอาการร่ำไห้เสียใจ อ้างไม่รู้มาก่อนมีผู้เสียหายมากขนาดนี้และพร้อมเยียวยาแก่ผู้เสียหาย ส่วนคลิปเสียงเจรจาเทวดาสคบ. บอสพอลยอมรับว่าเป็นเสียงตัวเองจริง ยอมรับว่าโดนรีดและยอมส่วยตลอด แต่ไม่มีสักคำที่ยอมรับว่าทำผิดกฎหมาย
มาถึงวันนี้ไม่ว่าใครจะปฏิเสธความผิดอย่างไรผู้เกี่ยวข้องหลักรวมแม่ขาย 18 บอสได้ถูกออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้วในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยก่อนหน้านั้นได้มีการอายัดทรัพย์บอสพอล บอสกันต์ และผู้เกี่ยวข้องอีก 2 คนแล้วก้อนแรกรวมมูลค่า 125 ล้านบาทก็เพราะพฤติกรรมที่ชอบอวดความร่ำรวย กินหรู อยู่แพง ใช้ของแบรนด์เนม
ข้อเท็จจริงที่ถูกเปิดเผย ผู้เสียหายที่หอบหลักฐานออกมาร้องเรียนนับพันคนจากจำนวนเหยื่อ 3.6 แสนคนและพยานวงในที่ปรากฏตัวมาให้ข้อมูลเชิงลึกว่า The iCon Group ทำธุรกิจอยู่เหนือกฎหมายมาได้หลายปีก็เพราะมี “เทวดาคุ้มครอง”อยู่ใน 4 หน่วยงานหลักได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(สอท.)
ที่มาของเทวดาคือนักการเมืองเข้ามาหนุนหลังหากิน โดยเฉพาะ “ไอ้เตี้ยนักตบทรัพย์” ที่พรรคการเมืองหนึ่งส่งเข้าไปนั่งในกระทรวงหนึ่งตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เก็บข้อมูลไปตบทรัพย์บริษัท แล้วยังไถเงินจากผู้เดือดร้อนเป็นค่าดำเนินงาน เรียกว่ากินสองทาง
ความจริงยังมีเทวดาอีกองค์ที่คอยอุ้มชูให้ The iCon Group โด่งดังนั่นก็คือรายการโทรทัศน์ท่ารับจ้างปั่นกระแส ดังเช่น รายการ TODAY SHOW ของต๋อย –ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ผู้เคยประกาศว่า “ไม่ฆ่าใครออกทีวี เอาสิ่งดีๆสู่สังคม” เลยเอาบอสของThe iCon Group มาสัมภาษณ์ออกรายการเยอะมากนับสิบคน
หรืออย่างรายการตีสิบ ของวิทวัส สุนทรวิเนตร์ รายการอายุน้อยร้อยล้าน ของก้อง- อรรฆรัตน์ นิติพน และ รายการคุยแซ่บSHOW ที่เพิ่งจะเอาบอสแซมมาเผย “เคล็ดลับปั้นร่างทอง” เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ซึ่งต่อไปตำรวจคงจะเชิญทุกรายการไปสอบปากคำว่ามีส่วนร่วมสนับสนุนการกระทำความผิดมากน้อยเพียงใด และรายการเหล่านี้จะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร
สุดท้ายกลับมาที่ “สคบ.” สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หน่วยงานระดับกรม สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งน่าจะเป็นหน่วยงานที่ทรงพลังที่สุดในการคุ้มครองผู้บริโภคเพราะอยู่ในมือของผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารบ้านเมือง แต่ความจริงตลอด 45 ปีที่ก่อตั้งมาคือเป็นได้แค่ “เสือกระดาษ” ที่ไร้น้ำยา อ่อนปวกเปียก เช้าชามเย็นชาม หรือเดี๋ยวนี้อาจจะกินหลายชามเพราะมีเครื่องเซ่นไหว้จากเอกชนจนกลายเป็นองค์เทวดาให้ความคุ้มครองบริษัทเติบโต โดยมีการแจกโล่ให้The iCon Group ในปี 2565บอสพอลขึ้นรับในวันคุ้มครองผู้บริโภคในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์สนับสนุนงานของสคบ.
คลิปเสียงที่ถูกเผยแพร่จับใจความได้ว่ามีนักการเมืองวิ่งเต้นให้ The iCon Group เพราะคนในสคบ.ดีดนิ้วสั่งการได้นั้น ไม่ต่างกับการโยนระเบิดใส่สำนักนายกรัฐมนตรี จึงไม่แปลกใจที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยให้รายงานผลต่อตนเองและนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯที่รับผิดชอบกำกับดูแล สคบ.ภายใน 30 วัน
งานนี้ถ้าไม่ล้างบางเทวดาที่สถิตย์อยู่ ถ้าไม่ถือโอกาสยกเครื่องการทำงาน ถ้าแค่ตรวจสอบเป็นพิธีแล้วปล่อยเหมือนเดิม ไม่ผ่าตัดเปลี่ยนแปลงองค์กรให้มีความทันสมัยทำงานเชิงรุก ต่อไปสคบ.คงถูกเปลี่ยนฉายาจากเสือกระดาษเป็นได้แค่ “หมาเห่าใบตองแห้ง”