ขบวนการแรงงานต่างด้าว เปิดประเทศรับอะไรแน่
เมื่อก่อนนั้นเคยมีความเชื่อกันในระดับหนึ่งว่าการใช้เทคโนโลยีทันสมัยในกระบวนการผลิตภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมโดยสามารถลดกำลังคนและการจ้างงานจำนวนมาก อันเป็นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นคือความสำเร็จของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ จนมาถึงยุคปัจจุบันที่นำเอาเทคโนโลยี 5G มาใช้กับ Internet of Thing ( IoT) เอาการสื่อสารไร้สายมาเชื่อมต่อกับกระบวนการทำงานในภาคธุรกิจที่ช่วยให้งานง่ายขึ้นรวดเร็วขึ้น ก็ยิ่งเป็นช่องทางการในการลดภาระงานของบุคคลากร โดยเฉพาะบุคคลากรประเภทใช้แรงงานหรือขาดทักษะขาดความเชี่ยวชาญ
ยุคโชติช่วงชัชวาล
การพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยที่เดินหน้า-ถอยหลัง กระฉึกกระฉักมาพร้อมกับพัฒนาการด้านการเมือง ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านแรงงานตามมาเป็นระยะ โดยหากย้อนไปในช่วง 4 ทศวรรษ นับจากวันที่ “ป๋าเปรม”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เปิดวาล์วส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยเข้าโรงแยกที่ระยอง เมื่อปลายปี 2524 พร้อมกับคำว่า “โชติช่วงชัชวาล” ซึ่งถูกใช้สร้างเป็นสัญญลักษณ์การพัฒนาด้านพลังงานและอุตสาหกรรมยุคก้าวกระโดดของไทย
จากรากเหง้าของการเป็นชาติเกษตรกรรมทำนา ทำไร่ ปศุสัตว์ ประมง ซึ่งใช้แรงงานเป็นหลัก และอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตการเกษตรกำลังเติบโตโดยมีแรงงานราคาถูกให้เลือกจ้างได้มากมาย ได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจากการนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้พร้อมกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศสู่พื้นที่อุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกตามแผนพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ด
นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่ประกาศโดย “น้าชาติ” พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2531 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงสนามรบของอินโดจีนให้เป็นตลาดการค้าที่สร้างประโยชน์ ช่วยเจรจาลดความขัดแย้งภายในประเทศกัมพูชา สร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มอินโดจีน ลดปัญหาการรบและความไม่ปลอดภัยตามแนวชายแดนพลิกสถานการณ์ให้การค้าชายแดนทุกด้านเติบโตอย่างก้าวกระโดด
สิ่งที่ตามมาจากนโยบายของน้าชาติคือการลงนามสร้างสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งแรกที่หนองคายซึ่งมีผลให้ราคาที่ดินริมแม่น้ำโขงพุ่งสูง เช่นเดียวกับตลาดสินค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ไทย-พม่าในยุคนั้น เมื่อความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศดีขึ้นจึงส่งผลต่อความสัมพันธ์ในระดับประชาชนและแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านได้เริ่มขยายตัวในช่วงเวลานี้เอง
ยุคโอท็อปและเอสเอ็มอี
เศรษฐกิจและการเมืองในยุค ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 23 ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2544–2549 ที่เด่านชัดคือนโยบายกองทุนพัฒนาหมู่บ้าน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอท็อป) และการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ส่งเสริมผู้ประกอบการระดับกลางและล่างซึ่งมีส่วนจุดประการความคิดให้คนไทยลงทุนประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น
สมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน คนจนเมืองที่เผชิญค่าครองชีพสูง นโยบายนี้เป็นที่พอใจของลูกจ้างแต่ถูกโจมตีจากนายจ้างว่าเพิ่มต้นทุนการผลิต นักวิชาการก็กล่าวหาว่าเป็นตัวทำลายเศรษฐกิจ มีผลให้นายจ้างไทยหันไปจ้างต่างด้าวและส่งผลให้แรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทย
แรงงานไทยหายไปไหน
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนคนไทยเปลี่ยนทัศนคติไปเยอะ พื้นฐานการศึกษาที่ดีขึ้น การรับรู้ข่าวสารที่เปิดกว้างและรวดเร็วขึ้นมีผลให้แรงงานไทยเลิกเป็น “อีแจ๋ว”ทำงานรับใช้ตามบ้าน เลิกเป็นแรงงานก่อสร้างแบกหามตามไซต์งานเล็กใหญ่ แรงงานไทยต้องการรายได้ที่มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เห็นโอกาสมากกว่าในช่องทางค้าขายหรืองานรับจ้างที่ใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญที่ได้ค่าตอบแทนสูงกว่า หรือต้องการงานที่มีความมั่นคงกว่าเช่นลูกจ้างประจำ พนักงานบริษัท พนักงานราชการ หรือสอบเป็นข้าราชการ ตำรวจ ทหาร
เด็กยุคใหม่มีความคิดอิสระมากขึ้นนอกจากการศึกษา คิดอยากทำอาชีพอิสระ ช่องทางค้าขายออนไลน์ที่มีตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จทั้งไทยและต่างประเทศ ไม่ต้องการถูกสั่งถูกกดหัว หรืองานประจำที่จำเจ มีงานใหม่ๆให้ลองให้เลือกอาทิ กราฟฟิกดีไซน์ ทำอาหาร ดีไซเนอร์แฟชั่น หรืออาชีพแปลกๆน่าทึ่งเช่นรับผลิตเคสคอมพิวเตอร์ที่ต้องออร์เดอร์ล่วงหน้า 3 ปี
ต่างด้าวขุดทองในไทย
ความเปลี่ยนแปลงของแรงงานไทยดังกล่าวจึงเป็นโอกาสให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทดแทนที่ขาดแคลน เริ่มจ้างเด็กรับใช้ในบ้าน โรงงานอุตสาหกรรม จากเมียนมาร์เป็นส่วนใหญ่ แรงงานก่อสร้างกัมพูชาจับจอง งานประมง ปศุสัตว์ การเกษตร ลงไปถึงธุรกิจบริการ เด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร ผู้ช่วยพ่อครัว หรือมีประสบการณ์มีฝีมือยกระดับเป็นพ่อครัวไปแล้ว พนักงานขายของหน้าร้านซึ่งเจ้าของร้านเป็นจีน หรือพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ไม่ใช่อาบังอย่างในอดีต
ยุคสมัยหนึ่งปากต่อปากบอกคนไทยว่ามีโอกาสไปขุดทองที่อเมริกา ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น ต่อมาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาขุดทองที่เมืองไทยที่แม้จะไม่ร่ำรวยอย่างอเมริกา แต่เพราะคนไทยใจดี ช่องทางเข้ามาทำมาหากินง่าย ยิ่งถ้าพูดภาษาไทยได้ก็ได้ค่าตอบแทนดีตั้งตัวเร็ว บางคนทำงานไม่กี่ปีสะสมทุนแยกออกไปค้าขายเอง เคยเห็นบางคนเป็นลูกจ้างร้านซักรีด วันนี้กลายเป็นเจ้าของไปแล้วแถมยังเปิดสาขาเรียกญาติพี่น้องมาขยายธุรกิจ ต่อไปอาจขายแฟรนไชส์ข้ามชาติ หรือลูกจ้างแผงไข่ในตลาดสดแรกๆยังพูดไทยไม่ค่อยชัด วันนี้นั่งคุมแผงกับเมียสาวไปแล้ว
โควิด-19 เขย่าตลาดแรงงาน
อย่างไรก็ตามช่วงโควิด-19 ระบาดนั้นสถานการณ์แรงงานเปลี่ยนไปเยอะมาก ด้านแรงงานคนไทยจะเห็นภาพของการปิดโรงงานเลิกจ้างหรือลอยแพเยอะมากช่วงกลางปี 2563 นอกนั้นบริษัทห้างร้านจลดจำนวนคน ลดเงินเดือน ลดเวลาทำงาน ตัดสวัสดิการ ช่วงปลายปี 2563 ประเมินกันว่ามีคนไทยตกงานกว่า 6 ล้านคน พอเปี 2564 มีการระบาดระลอก 2-4 ล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวยาวออกนโยบาย Work From Home ยังไม่มีการประเมินว่าตกงานเพิ่มอีกมากน้อยแค่ไหน แต่บรรยากาศโดยทั่วไปยังไม่เป็นบวกต่อการจ้างงานเพิ่มแน่
แรงงานต่างด้าวที่พยายามหลบหนีเข้าเมืองและถูกจับได้นั้น ถือเป็นผลงานของเจ้าหน้าที่ตามชายแดนที่ไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ จริงอยู่ว่ามีขบวนการรับจ้างหาแรงงานป้อนนายจ้างในประเทศไทยที่ไม่สนเรื่องถูกผิด คิดแต่หาแรงงานต้นทุนต่ำ อาจจะเอาไปชดเชยคนงานที่กลับบ้านตั้งแต่ปี 2563 แต่ที่ถูกจับนั้นเชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาที่หนีภัยสงครามและความอดอยากมาตายเอาดาบหน้า เพราะฝั่งเมียนมาไม่มีอนาคตว่าจะกลับไปยู่อย่างสงบหรือมีกินมาใช้เช่นในอดีตในเร็ววัน ข่าวลือหนาหูว่าเมื่อหมดฝนแล้วจะเกิดการโจมตีชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจะมีการอพยพครั้งใหญ่ปรากฏให้เห็นตามแนวชายแดน
ตะลึง!เปิดประเทศจะรับต่างด้าว 4 แสนคน
การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยไม่ต้องกักตัว การยกเลิกเคอร์ฟิว เลิกมาตรการควบคุม เปิดให้ร้านอาหารขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอีกไม่กี่วันคลับ บาร์ อาบอบนวด สนามชนไก่ ชนวัว ฯลฯ จะกลับมาเปิดปกติ 100% เพื่อให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว การจ้างงานในทุกระดับจะกลับมาพร้อมกับความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นนั้นเป็นที่คาดหมาย
แต่การที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวรงาน อ้างว่ามีความต้องการแรงงานต่างด้าวสูงกว่า 4 แสนคน จึงจะเสนอให้มีการนำเข้าในช่วงเดือนธันวาคมยั้ย ไม่รู้ว่าเป็นข้อมูลเก่าหรือใหม่แค่ไหน เป็นข้อมูลก่อนเกิดโควิด-19 เมื่อสองปีก่อนหรือข้อมูลปัจจุบัน และตัวเลข 4 แสนคนนี้มีที่มาอย่างไรหน่วยงานไหนรับผิดชอบ รัฐมนตรีแรงงานยังไม่เคยอธิบายในรายละเอียด
เราไม่เคยรู้ตัวเลขแน่ชัดว่าแรงงานต่างด้าวในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยก่อนเกิดโควิด-19 มีมากน้อยเพียงไร แต่การเปิดประเทศยังไม่ถึงเดือนกับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวประปรายที่มุ่งเที่ยวในพื้นที่หลักๆเพียงไม่กี่แห่ง จะทำให้เกิดการจ้างงานในภาคบริการกลับมาทันทีทันใดอย่างมากมาย หรือการเปิดประเทศได้ส่งผลบวกอย่างมหัศจรรย์ต่อภาคการผลิต
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงรัฐมนตรีแรงงานควรใส่ใจต่อพี่น้องคนไทยที่เคยถูกเลิกจ้าง ถูกลดเงินเดือน ประสานกับภาคธุรกิจเอกชน คุยกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้นำอดีตพนักงานและลูกจ้างที่เคยมีประวัติการทำงานเหล่านี้กลับสู่ระบบแรงงานอีกครั้งให้มากที่สุดก่อนไม่ดีกว่าหรือ ทำไมจึงกระตือรือร้นจะเร่งรีบผลักดันนำเข้าแรงงานต่างด้าวจำนวนมากถึง 4 แสนคนให้รีบเข้ามาแย่งงานคนไทยซึ่งทุกวันนี้หลายครอบครัวรายได้หดหาย หนี้สินเพิ่มพูน เพราะผลกระทบจากโควิด
ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ระบุว่าประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั่วราชอาณาจักร 2.3 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานต่างด้าวทักษะสูงเพียงแค่ 1% ขณะที่ไทยมีการไหลเข้าของแรงงานต่างด้าวติดอันดับที่ 17 ของโลก ตอนนี้จับทุกวันชายแดนทุกด้านทั้งตะวันออก ตะวันตก ภาคใต้
หรือเพราะแรงงานไทยกดหัวได้ไม่มีปากเสียง แต่แรงงานต่างด้าวค่านำเข้ารวมค่ากักตัวหัวละ 2.6 หมื่นบาท เลยต้องใส่ใจให้มาก