
ไร้วุฒิภาวะจนเป็นเรื่อง

จริงแล้ว การที่จะฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือไม่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่ประเด็นหลัก
เพราะเสียงสะท้อนที่ตั้งคำถามว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จึงยังไม่ฉีดวัคซีน เกิดจากเรื่องของคำพูดที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เกิดจากเรื่องของการจัดซื้อวัคซีนที่เหมือนจะรออะไรบางอย่าง
ถึงได้วกกลับมาเป็นประเด็นว่า ทำไมในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบแสนสาหัสจากโควิด-19 ถึงได้ทำเหมือนรอเวลาที่จะฉีดวัคซีน
ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจมันรอไม่ได้ ผู้คนได้รับผลกระทบกันหนักแล้ว
การแก้ปัญหาด้วยการแจกเงิน หว่านเงิน โดยมีข้อสงสัยเรื่องเงื่อนไข เรื่องกลุ่มแจกเพื่อสร้างคะแนนนิยม ไม่ใช่อย่างที่มีคนรอบข้าง หรือ ไอโอที่ฉลาดน้อย ที่ใช้การไปหยิบยกข้อมูลมาอ้างว่าประเทศอื่นๆก็แจกเงิน สหรัฐก็ยังแจกเงิน
แต่มีประเทศไหนแจกเงินแบบมีเงื่อนไขสร้างความเหลื่อมล้ำบ้างล่ะ?
เหลื่อมล้ำจนทำให้เกิดเหตุสลด การฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจนับสิบๆรายแล้ว
วันศุกร์ที่ 12 มี.ค. ที่คนชื่อประยุทธ์ บอกว่าตัดสินใจแล้วที่จะฉีดวัคซีนเสียที แต่เชื่อเถอะจะฉีดหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย หากว่าไม่รู้หน้าที่ว่าการฉีดวัคซีนจะสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศได้หรือไม่อย่างไร
ผู้นำรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่เขาฉีดวัคซีนกันนั้น ประเด็นความปลอดภัยของตนเอง ยังน้อยกว่าประเด็นสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศชาติ
ยิ่งมาเกิดกรณีในวันที่บอกว่า ตัดสินใจจะฉีดวัคซีนแล้วนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินจากโพเดียมแถลงข่าวตรงไปหาสื่อมวลชน พร้อมกับหยิบสเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดใส่ผู้สื่อข่าว พร้อมกับพูดว่า “ฉันกลัวโควิด ฉันต้องป้องกันตัวเอง”
และยิ่งเมื่อตอบคำถามว่ากลัวแบบนี้ต้องให้สื่อฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ด้วยหรือไม่ ด้วยการบอกว่า “ต้องฉีดเข้าปากเลย”
ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิด และวุฒิภาวะของคนชื่อประยุทธ์
เรื่องนี้ทำให้สื่อต่างประเทศ พากันรายงานถึงพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีไทยกันอย่างกว้างขวาง กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
แพทย์หลายๆคนออกมาบอกว่าเป็นพฤติกรรมอันตรายกับดวงตาของผู้ถูกฉีดใส่ได้เลย การอ้างเรื่องหยอกล้อ ทำเป็นเรื่องขำๆ มันจึงแก้ไขภาพการผิดกาลเทศะไม่ได้เลย
ยิ่งตามมาด้วยการงดให้สัมภาษณ์ และการบ่นว่า แค่อยากเล่นกับสื่อ แต่เป็นเรื่องจนได้
ยิ่งทำให้คำว่าไร้วุฒิภาวะมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
อัคคี กัมปนาท