![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
ไทยแลนด์แดนสวรรค์
![ไทยแลนด์แดนสวรรค์](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/ปลายซอย17.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดศักราชใหม่ปีมะโรงด้วยการให้ข่าวฮือฮาว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 รัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจะยกระดับความสัมพันธ์กันขึ้นไปอีกขั้นด้วยการให้ “ฟรีวีซ่าแบบถาวร”สำหรับการเดินทางเข้าออกของประชาชนไทย-จีน
นายกฯเศรษฐากล่าวว่าเรื่องนี้ฝ่ายไทยและจีนได้ทำงานร่วมกันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่สะดุดไป เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาจึงได้สานต่อและพูดตลอดเวลาว่าจะยกระดับของพาสปอร์ตไทยขึ้นมา
ย้อนไปเมื่อปลายปี 2566 รัฐบาลไทยประกาศ ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวและให้อยู่ในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วันเป็นกรณีพิเศษ แก่นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567
ขณะที่จีนได้เปิดฟรีวีซ่าให้แก่ผู้เดินทางที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจาก 5 ประเทศ ได้แก่ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และมาเลเซีย เข้าจีนได้เป็นเวลานานสูงสุด 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 30 พฤศจิกายน 2567 รวมเวลา 1 ปี โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาที่ดีขึ้น และยกระดับความสัมพันธ์
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาคนไทยกังขามากว่าทำไมจีนให้ฟรีวีซ่าแก่เพื่อนบ้านไทยอย่างมาเลเซีย แต่กลับไม่ให้ไทยทั้งๆ ที่พูดอยู่เสมอว่า “จีน-ไทย ครอบครัวเดียวกัน”
นายเศรษฐาได้ให้คำตอบเรื่องนี้ว่า เมื่อเดือนธันวาคมจีนยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศให้กับ 5 ประเทศ แต่ไม่มีประเทศไทย เพราะอยู่ระหว่างคุยกันว่าจะยกเว้นแบบถาวร และในวันนี้ก็เป็นข่าวดี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมเป็นต้นไป การเดินทางไปกลับทั้ง 2 ประเทศ ไม่ต้องมีวีซ่าระหว่างกันและกัน”
ถ้าเชื่อตามนั้นคงถึง “บางอ้อ” กระนั้นก็ตามคนไทยบางส่วนก็ยังเคลือบแคลงใจว่านายกฯเศรษฐา “ปากไว”ไปหรือเปล่า เพราะเมื่อมีการตรวจสอบข่าวไปทางฝั่งจีน ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเป็นจริง มีแต่ข่าววงในจากฝั่งไทยว่า ตอนแรกไทยจะต่อฟรีวีซ่าให้จีนไปอีก 5-6 เดือน ส่วนฝ่ายจีนได้แต่อ้อมแอ้มบอกมาว่ากำลังดำเนินการเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
ที่ฟังดูพอมีน้ำหนักคือนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่บอกว่าเรื่องนี้ได้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีก็เห็นชอบให้ตนเดินทางไปลงนามความตกลงภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายปานปรีย์เล่าให้ฟังว่าความตกลงนี้เป็นผลมาจากที่นายกฯเศรษฐาไปเยือนจีนและได้คุยกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ส่วนตนเองได้คุยกับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2566 จึงได้มีการตั้งคณะทำงานทั้งสองฝ่ายมาหารือกันจนมีความเห็นพ้องที่จะให้ทำความตกลงฯ มีผลใช้บังคับภายในวันที่ 1 มีนาคม 2567
การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทย–จีน ครั้งนี้ย่อมอยู่ในความสนใจของชาติตะวันตก เช่น วิทยุเสียงอเมริกา ภาคภาษาไทย (VOA THAI) ที่ออกบทวิเคราะห์ว่า “จีน”เคยเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดที่มาเยือนไทยประมาณ 10 ล้านคนในปี 2019 แต่หลังโควิดเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนกลับมาเยือนไทยเพียง 3.5 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากนักท่องเที่ยวมาเลเซีย จากยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น 28 ล้านคน
สหรัฐอเมริกานั้นไม่เคยหวังดีกับประเทศใดในโลก ยกเว้นประเทศของตัวเองที่ต้องมาก่อน ดังนั้นรัฐบาลไทยคิดบวกได้แต่อย่านั่งฝันหวานว่าหลังวันที่ 1 มีนาคม 2567 นักท่องเที่ยวจีนจะทะลักเข้าไทย หรือจะฝันยาวไกลไปกับ นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าตลอดปี 2567 นักท่องเที่ยวทั่วโลกจะมาไทย 35 ล้านคน ชาวจีนจะกลับมา 8.2 ล้านคน เพราะโลกในปี 2567 ยังคงอยู่กับสงครามและความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ
ตัวอย่างเหมือนที่เคยฝันว่าให้ฟรีวีซ่าชั่วคราวกับจีนแล้วจะเหมาลำกันมาช็อปปิ้งเมืองไทย แต่แค่หนังจีนหนึ่งเรื่องออกมาฉาย แค่เด็กโรคจิตหนึ่งคนที่ออกมากราดยิงคนกลางห้างพารากอน นักท่องเที่ยวกลับหดหายเพราะกลัวข่าวร้ายในไทย
หรือแค่เพราะสื่ออิสระอย่าง Thai PBS บินไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไต้หวัน เอาการสัมภาษณ์มาออกอากาศทางโทรทัศน์และโซเชียลมีเดีย สร้างความไม่พอใจแก่รัฐบาลจีน
มีผลให้เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ตำหนิสื่อไทย ที่ให้พื้นที่ข่าวแก่ไต้หวันทั้งๆที่รัฐบาลไทยยอมรับเรื่อง “จีนเดียว”
ข่าว Thai PBS ออกต้นเดือนพฤศจิกายน ทูตจีนประท้วงกลางเดือน สายการบินจีนแจ้งยกเลิกเที่ยวบินมาไทยช่วงไฮซีซันร่วมหมื่นเที่ยวบินอย่างกะทันหันในปลายเดือนพฤศจิกายน ถามว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นเหตุบังเอิญ หรือเป็นบทเรียนสั่งสอนจากแผ่นดินใหญ่ว่า “อย่างยุ่งเรื่องไต้หวัน”
จีนได้ชื่อว่าเข้มข้นในเรื่องความมั่นคงในประเทศ ความเป็นเอกราชของจีนทั้งเรื่องฮ่องกง ไต้หวัน หมู่เกาะในทะเล
ต่างกับประเทศไทยที่วันนี้รัฐบาลคิดด้านเดียว หาเงินเข้าประเทศ ปล่อยให้คนเข้าประเทศเยอะๆ เน้นจำนวนเป็นตัววัดผลงาน มีเสียงบ่นสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยพิจารณาอนุมัติวีซ่าช้าก็ด่าเจ้าหน้าที่ บินมาออกันที่ด่านตม.สนามบินก็ด่าเจ้าหน้าที่ทำงานล่าช้า โดยไม่คิดดูข้อเท็จจริงว่าปริมาณงานกับจำนวนเจ้าหน้าที่สมดุลกันไหม
เมื่อผู้ใหญ่เน้นปริมาณขาเข้าเจ้าหน้าที่ก็หลับตาประทับตราให้เข้าเมือง แล้วเราก็ได้เหล่าอาชญากรนานาชาติที่บินมาซุกตัว มาฟอกเงิน มาก่ออาชญากรรมในไทย หรือได้แก๊งขอทานจีน ขอทานจากอาหรับ เข้ามาหาเงินสร้างภาพพจน์ที่ไม่ดีแก่ประเทศ
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย วันนี้คนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทางของ 61 ประเทศ และเขตเศรษฐกิจ สามารถเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว โดยได้รับยกเว้นการตรวจลงตรา และอนุญาตให้พำนักอยู่ในราชอาณาจักรได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นแดนสวรรค์ของคนทั่วโลก ในขณะที่คนไทยเจ้าของประเทศยังบ่นชักหน้าไม่ถึงหลัง ยังหาเงินไปชำระหนี้
ฝีมือรัฐบาลแบบไทยๆ..