
ไทยยูเนี่ยนQ1กำไรแกร่งปรับตัวต่อเนื่องโตก้าวกระโดด 77 %


ไทยยูเนี่ยนโชว์ผลงานไตรมาสแรกทำกำไรแข็งแกร่ง ตอกย้ำความสามารถในการยืนหยัดและปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงเชื่อมั่นและความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาสินค้าอาหารที่ดีต่อสุขภาพรวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยง กำไรสุทธิ 1,803 ล้านบาท โตก้าวกระโดด 77 % จากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยังคงส่งผลทั่วโลกก็ตาม
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยถึงผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2564 โดยยังคงยืนหยัดได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงเชื่อมั่นและความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาสินค้าอาหารที่ดีต่อสุขภาพรวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยง แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยังคงส่งผลทั่วโลกก็ตาม โดยในไตรมาสแรกไทยยูเนี่ยนรายงานผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,803 ล้านบาท มากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 77 % และมียอดขายคงที่อยู่ที่ระดับ 31,125 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.1 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีและได้รับผลดีจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
สิ่งที่สำคัญที่ทำให้สามารถฟันฝ่าสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาได้คือ ความสามารถในการยืนหยัดและปรับตัว ไทยยูเนี่ยนทุกคนทำงานหนักเพื่อดูแลให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง มี 15 แบรนด์ ฐานการผลิต 14 แห่ง สำนักงานอีก 10 แห่ง และทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใน 16 ประเทศทั่วโลก ดังนั้นหัวใจสำคัญคือความสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างทันท่วงที เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และไม่ใช่เพื่อให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่จะต้องสามารถเติบโตได้อีกด้วย และสิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนเกิดความเชื่อมั่น ตั้งแต่พนักงานของบริษัทฯ คู่ค้า ไปจนถึงผู้บริโภคว่าไทยยูเนี่ยนมีความสามารถที่จะตอบโจทย์ทุกฝ่ายได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
ในไตรมาสแรกปี 2564 ธุรกิจอาหารแช่แข็งฟื้นตัว โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 10.3 % อยู่ที่ 12,076 ล้านบาท และทำผลงานได้ดีในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งภาคธุรกิจบริการอาหารมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นมาก นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในธุรกิจของไทยยูเนี่ยน
ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าคือ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในไตรมาสแรก โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 20.8 % อยู่ที่ 5,469 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และถึงแม้ว่าธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องจะมียอดขายลดลง 13.1% อยู่ที่ 13,580 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผู้บริโภคมีการจับจ่ายอาหารกระป๋องในช่วงเริ่มแรกของการแพร่ระบาด แต่ถ้าหากเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 จะเห็นได้ว่ายอดขายไตรมาสแรกของปีนี้ยังเพิ่มขึ้นถึง 0.9 %
ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าธุรกิจด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของบริษัทในการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนควบคู่ไปกับการดูแลความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล ในไตรมาสแรกของปีบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกภายใต้แบรนด์ OMG Meat ในประเทศไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ ยูนีกโบน ผงแคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่า
ช่วงไตรมาสเดียวกันนี้ บริษัทฯ ยังได้จับมือกับองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก The Nature Conservancy ในการทำงานด้านความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานในการจัดหาปลาทูน่าทั่วโลก เพื่อตรวจสอบการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมในโครงการ Ocean Disclosure ที่ส่งเสริมด้านความโปร่งใสในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก โดยบริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจอาหารทะเลสามารถแสดงข้อมูลการจัดหาอาหารทะเลต่อสาธารณชนได้เพื่อความโปร่งใส
ทั้งยังได้จัดหาแหล่งเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเป็นครั้งแรก ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่การเป็น Blue Finance หรือการบริหารการเงินที่เกี่ยวข้องกับโครงการอนุรักษ์มหาสมุทร
เมื่อต้นปี 2564 บริษัทฯ ยังได้ประกาศลงทุนในบริษัท บลูนาลู สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารจากแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำในการพัฒนาโปรตีนอาหารทะเลจากเซลล์เพาะเลี้ยงที่ได้รสชาติ เนื้อสัมผัสและมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าอาหารทะเล
นอกจากนี้ยังเดินหน้าให้ความช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกนี้ไทยยูเนี่ยนได้บริจาคอาหารแมวมากกว่า 40,000 ชุดให้กับองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย และยังดูแลพื้นที่สมุทรสาคร โดยบริจาคอาหารมากกว่า 30,000 ชุด ตลอดจนพัดลม 500 เครื่องและชุดปลั๊กพ่วงอีก 250 ชุดให้กับโรงพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยโควิด-19
“บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนควบคู่ไปกับการดูแลความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล เราจึงให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ถูกต้องตามหลักโภชนาการ และในขณะเดียวกับเราก็ยังดูแลในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพื่อให้คนรุ่นต่อไปยังมีทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ เราเชื่อว่านี่คือวิถีทางในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค คู่ค้าและทุกฝ่ายในห่วงโซ่อุปทาน และไทยยูเนี่ยนจะยังเดินหน้าธุรกิจต่อไปอย่างมั่นคง” นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบันบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 132,402 ล้านบาท (4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทคิดค้นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน
ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบอาหารและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ได้แก่ UniQ™BONE, UniQ™DHA และ ZEAvita โดยในปี 2563 ได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 2 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน