Digiqole ad

โอไมครอน…โอมายก๊อด ไวรัสกลายพันธุ์ทำฝันสลาย

 โอไมครอน…โอมายก๊อด  ไวรัสกลายพันธุ์ทำฝันสลาย
Social sharing

Digiqole ad

         เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีอันเป็นช่วงเวลาที่ชาวโลกกำลังเตรียมตัวเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขทั้งคริสต์มาสและปีใหม่  หลังจากถูกโควิด-19 กดดันมาต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปี  ในส่วนของคนไทยก็เตรียมวางแผนเที่ยวช่วงหน้าหนาว  ผู้ประกอบการภาคบันเทิงก็เตรียมเปิดกิจการอีกครั้งในกลางเดือนมกราคม 2565ตามที่รัฐบาลประกาศไว้  แต่พลันที่องค์การอนามัยโลก(WHO) ออกข่าวเตือนเรื่องโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ที่กลายพันธุ์อย่างน่ากลัวและเริ่มระบาดไปหลายประเทศ  ได้กลายเป็นเรื่องช็อคโลก  กลายเป็นข่าวร้ายที่กระแทกใจแบบตั้งรับแทบไม่ทัน

         เดิมชาวโลกอาจจะมีความกังวัลใจอยู่บ้างเรื่องภาวะเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งมีขึ้นๆลงๆเป็นปกติเป็นความเสี่ยงที่พอเข้าใจ  แต่กับเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เคยเผชิญตัวกลายพันธุ์อย่างสายพันธุ์เดลต้าที่มาเร็วมาแรงทำให้ผู้ติดเชื้อไว  ออกอาการเร็ว รุนแรง และเสียชีวิตมาก  ส่งผลให้นานาประเทศต้องใช้มาตรการเข้มข้นล็อคดาวน์ เคอร์ฟิว ปิดเมือง ปิดกั้นการเดินทางระหว่างประเทศ  สั่งหยุดธุรกรรม  สั่งWork From Home ส่งผลกระทบอย่างหนักหนาสาหัสต่อภาคธุรกิจ บริการ ระบบการผลิต การขนส่ง  จนเริ่มจะคุ้นชินและพยายามปรับตัวให้อยู่ร่วมกับเชื้อไวรัสได้อย่างปลอดภัยไม่เท่าไร  กลับต้องมาเผชิญหน้ากับสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะร้ายกว่าเดิมอีกกี่เท่า

          แพร่กระจายสกัดเดินทาง

          ล่าสุดตรวจพบว่ามีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนกว่า 20 ประเทศ  กระจายไปทั่วทั้ง ออสเตรเลีย  ออสเตรีย  เบลเยียม   บอตสวานา  แคนาดา  สาธารณรัฐเช็ก  เดนมาร์ก   ฝรั่งเศส  เยอรมนี  ฮ่องกง  อิสราเอล อิตาลี ญี่ปุ่น  เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส  แอฟริกาใต้  สเปน  สวีเดน  สหราชอาณาจักร  และทันทีที่WHO ออกคำเตือนได้มีอย่างน้อย 70 ประเทศและดินแดนที่ใช้มาตรการจำกัดการเดินทางทันที  โดยเฉพาะการสั่งห้ามผู้เดินทางจาก 8 ประเทศทวีปแอฟริกาเข้าเมือง  ประกอบด้วย บอสวานา โมซัมบิก เอสวาดีนี  นามิเบีย เลโซโท ซิมบับเว และแอฟริกาใต้

           แม้ยังไม่ปรากฏว่ามีใครเสียชีวิตจากเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่แต่ผลกระทบที่เห็นชัดเจนและเกิดขึ้นแล้วคือ  แผนการเดินทางท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลใหญ่ปลายปี 2564 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ   ส่วนในระยะยาวคือผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก  ยิ่งหากในช่วง 2 สัปดาห์ที่องค์การอนามัยโลกกำลังเฝ้าจับตาว่าจะมีการแพร่ระบาดมาก  เจ็บป่วยรุนแรงมาก และเสียชีวิตมากหรือไม่  ในขณะที่วัคซีนที่มีอยู่อาจจะไม่สามารถรับมือได้ก็อาจจะพาให้โลกดำดิ่งสู่หายนะอีกครั้ง

         WHO เผยแพร่เรื่องโอไมครอนว่า มีความเสี่ยงสูงที่จะแพร่ระบาดทั่วโลกอย่างรวดเร็ว  จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงในบางประเทศ  แต่ความรุนแรงในการเจ็บป่วยถึงขั้นเสียชีวิตยังต้องรอดูผลและประเมินกันอีกครั้ง  เพราะยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต  ยังไม่รู้ว่าโอไมครอนสามารถหลบวัคซีนที่ฉีดได้แล้ว  หรือคนที่เคยติดเชื้อแล้วมีภูกคุ้มกันได้หรือไม่อย่างไร

         นายเตโวโดรส อัดฮาโนม ผู้อำนวยการใหญ่ WHOกล่าวว่า  การปรากฏขึ้นของสายพันธุ์โอไมครอนที่มีการกลายพันธุ์สูงเป็นการย้ำเตือนว่าสถานการณ์ของโลกยังอันตรายและล่อแหลมเพียงใด  ประเทศแอฟริกาใต้ และบอสวานาควรจะได้รับคำขอบคุณที่ตรวจพบ วิเคราะห์และรายงานเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้  ไม่ใช่ถูกกล่าวโทษ  สายพันธุ์โอไมครอนแสดงให้เราเห็นว่าทำไมโลกจึงต้องการข้อตกลงใหม่เกี่ยวกับโรคระบาด  เพราะระบบในปัจจุบันของเราไม่จูงใจให้ประเทศต่างๆเตือนกันและกันถึงภัยที่อาจมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

        คำกล่าวของผู้อำนวยการใหญ่ WHO ทำให้นึกถึงตอนที่จีนตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วแจ้งข่าวต่อทั่วโลก  จีนกลับกลายเป็นผู้ร้ายที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกเรียกว่า “ไวรัสอู่ฮั่น  ไวรัสจีน” พร้อมโยนบาปว่า  แล็บจีนทำเชื้อไวรัสรั่วไหล  มีการปั่นกระแสสังคมจนกลายเป็นกระแสรังเกียจจีนและคนเอเชียถึงขั้นไล่ทำร้ายร่างกายและฆ่าคนเอเชียมาแล้วหลายราย

         ญี่ปุ่น-อิสราเอลสั่งปิดประเทศ

         ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 รัฐบาลญี่ปุ่นโดยนายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ได้ออกประกาศระงับเข้าเมืองของชาวต่างชาติจากทุกประเทศซึ่งรวมถึงนักเดินทางเพื่อธุรกิจ และนักศึกษาต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าญี่ปุ่นด้วย   ทั้งๆที่ญี่ปุ่นปุ่นเพิ่งเริ่มผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคระบาดเพียงไม่กี่สัปดาห์  และเพิ่งเริ่มผ่อนปรนให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่น  ส่วนพลเมืองญี่ปุ่นที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศจะต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวในสถานที่กักตัวที่ได้รับการรับรอง

        เช่นเดียวกับรัฐบาลอิสราเอลได้ประกาศปิดพรมแดนเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วันนับตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564  ด้วยเหตุผลทางด้านสาธารณสุขเพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์โอไมครอน 

        ขณะที่รัฐบาลฮ่องกงใช้มาตรการเข้มข้นแบบไม่แคร์ชาติอื่นไม่กลัวกระทบรายได้จากการท่องเที่ยวเหมือนเมืองสารขัณฑ์  นอกจาก 12 ประเทศในทวีปแอฟริกาไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ฮ่องกงแล้ว  ยังห้ามผู้ที่มีประวัติเดินทางไปยังหลายประเทศในยุโรปรวมถึงออสเตรเลียที่ตรวจพบเชื้อโอไมครอนเดินทางเข้าฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคมอีกด้วย  เพื่อลดโอกาสที่เชื้อโอไมครอนจะระบาดสู่จีนแผ่นดินใหญ่  โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีนมั่นใจว่าวิธีการตรวจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะสามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อ และยุทธศาสตร์คุมโควิดเป็นศูนย์จะสามารถสกัดการแพร่ระบาดในจีนได้

          ไทยเชื่องช้าเสียดายเปิดประเทศ

          สำหรับไทยเราที่เพิ่งแสดงความใจกล้าเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยไม่ต้องกักตัวนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564  ช่วง 1 เดือนมีนักท่องเที่ยวต่างชาตินักเครื่องมาลงมากกว่า 128,000 คน  เป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้านและอีกหลายประเทศที่เป็นเมืองท่องเที่ยว   

          ส่วนครม.สัญจรที่จังหวัดกระบี่ก็เพิ่งเห็นชอบตามข้อเสนอกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้ปี 2565 เป็น “ปีส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย” ภายใต้แคมเปญ “Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters” โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)เพิ่งยิงโฆษณาชุดใหม่ออกไปทั่วโลกโดยมีเป้าหมายปี 2565 จะต้องสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ 1.5 ล้านล้านบาท และเป้าหมายรายได้ในปี 2566 จำนวน 2.4 ล้านล้านบาท

                  นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. หลังจากดำเนินนโยบายเปิดประเทศตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน2564  พบว่าผลตอบรับดี ปัจจุบันมีผู้ยื่นขอไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) มากกว่า 3 แสนคนแล้ว ส่วนเป้าหมายในช่วง 6 เดือนไฮซีซั่นตั้งแต่ ตุลาคม2564-มีนาคม2565 ยังคงเป้าที่จำนวน 1 ล้านคน

               ปี 2562 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 3 ล้านล้านบาท โดย 2 ใน 3 เป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากถึง 40 ล้านคน  ขณะที่ปี 2564 รายได้รวมด้านการท่องเที่ยวเหลืออยู่เพียง 3 แสนล้านบาท หรือแค่ 10% ของรายได้รวมที่เคยทำได้ 

            วัคซีน100ล้านโดสไม่พอต้านโอไมครอน

            ก่อนจะปรากฏข่าวสายพันธุ์โอไมครอน  รัฐบาลไทยกำลังรณรงค์เร่งระดมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครบ 100 ล้านโดสภายในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันพ่อแห่งชาติ  โดยหมายมั่นปั้นมือจะใช้เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลในการสร้างภูมิคุ้มกันแก่ประชาชน  อีกทั้งเป็นการการันตีความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากเชิญชวนให้มาเที่ยวไทย  

           แต่พลันที่โอไมครอนตรวจพบที่แฟริกาใต้และถูกแนะนำอย่างเป็นทางการโดย WHO เป้าหมายวัคซีน 100 ล้านโดสก็แทบหมดความหมายไม่ว่าจะเป็นเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 หรือบางคนได้รับเข็มที่ 3 ไปแล้วก็ตาม  เนื่องจากยังไม่มียี่ห้อไหนที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับสายพันธุ์ใหม่อย่างโอไมครอน  และกว่าจะพัฒนาวัคซีนตัวใหม่สำเร็จต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 100 วัน หรือประมาณไตรมาสแรกของปี 2565  

           ดังนั้นที่รัฐบาลไทยประกาศไว้ว่าปี 2565 ได้จัดหาวัคซีนโควิด-19 จำนวน 120 ล้านโดส เพื่อใช้เป็นวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นเข็มที่ 3 หรือเข็มที่ 4 นั้น  กระทรวงสาธารณสุขก็จำเป็นต้องเร่งเจรจากันใหม่กับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนถึงการพัฒนาประสิทธิภาพวัคซีนรุ่นใหม่ที่จะออกมาสู้กับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ด้วยเช่นกัน  

              ช่วงที่เกิดสายพันธุ์เดลต้านั้น  ประเทศที่ร่ำรวยหลายประเทศบอกว่า “การฉีดวัคซีนครบโดส” ไม่ได้แปลว่าครบ 2 เข็ม แต่หมายถึงได้ฉีดเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันมาสู้กับสายพันธุ์เดลต้าได้  โดยหลายประเทศในยุโรปเช่นฝรั่งเศส หรือออสเตรีย ได้ออกกฎบังคับฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น  หรือมิฉะนั้นก็ต้องแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ก่อนเข้าใช้บริการในร้านอาหารหรือสถานที่ที่กำหนด  บัดนี้เมื่อเกิดสายพันธุ์โอไมครอนตามหลังเดลต้ามาภายใน 6 เดือน  อีกไม่นานบรรดาประเทศเหล่านั้นก็คงต้องบังคับให้พลเมืองไปยกแขนปักเข็มที่ 4 เพื่อกระตุ้นภูมิกันใหม่อีกรอบ 

           มนุษย์โลกโปรดทราบ! เราอยู่กับโควิด-19 มาแล้ว 2 ปีเต็ม  หากจะต้องอยู่กับมันต่อไปอีกสัก 2-3ปี หรืออาจจะตลอดไปคงไม่มีใครเลือกได้

Facebook Comments


Social sharing

Related post