Digiqole ad

แพท ไนลันด์ ‘เชฟ’ ที่เป็นมากกว่า ‘เชฟ’ 

 แพท ไนลันด์ ‘เชฟ’ ที่เป็นมากกว่า ‘เชฟ’ 
Social sharing

Digiqole ad

การต่อสู้เพื่อทลายกำแพงอุปสรรคที่ขวางกั้นชีวิต ไม่เพียงจะทำให้เราก้าวไปสู่เป้าหมายในทุกสิ่งอย่างที่ต้องการได้เท่านั้น แต่นั่นยังหมายถึง การเปิดโอกาสให้ตัวของเราเอง ได้เรียนรู้ และทดลองทำสิ่งใหม่ๆ แถมด้วยการค้นหาคำตอบภายในใจของเราได้ด้วยว่า แท้จริงแล้ว ชีวิตของเราต้องการอะไร

แพท ไนลันด์  Corporate Executive Chef บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด มหาชน มาร่วมพูดคุยกับ หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ เผยประสบการณ์ชีวิต ตลอดระยะเวลากว่า 11 ปีที่ผ่านมาว่า วันนี้ เขาได้ทลายกำแพงเป้าหมายของชีวิตตัวเอง ไปได้แล้วถึง 4 ด่านด้วยกันก่อนอื่นเลย ผมต้องขอบคุณคุณพ่อ และคุณแม่ ที่ให้แนวคิดการใช้ชีวิต และสอนให้ผมรู้จักที่จะทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่ยังเป็นเด็ก 

เริ่มทำงานหาเงินตั้งแต่เด็ก

เชฟแพท ที่มีหลายตำแหน่งในด้านการทำงาน ที่หลากหลาย ทั้งการเป็นเชฟพิธีกรในงาน อีเว้นท์ที่เกี่ยวกับอาหาร รวมไปถึง การเป็น เชฟอินทีเรีย ที่ดีไซน์ห้องครัวสำหรับเชฟ และที่ปรึกษาให้กับลูกค้าร้านอาหารทั่วประเทศ บอกเล่าต่อว่าผมเริ่มทำงานหารายได้ตั้งแต่อายุ 14 ปีอย่างที่บอกครับ ว่า คุณพ่อของผมเป็นชาวฟินแลนด์ จึงนำหลักการคิดในแบบฉบับชาวฟินแลนด์ มาสอนผมเสมอ โดยเฉพาะ การหาเงิน และให้เราออกไปใช้ชีวิตโลกภายนอก โดยที่คุณพ่อจะให้เงินพอที่จะไปขึ้นรถไปกลับบ้านและโรงเรียน รวมถึง กินอาหารกลางวัน แค่นั้น ส่วนเราอยากได้อะไรมากกว่านี้ ก็ต้องไปหาเงินมาซื้อเอง ผมเลยไปรับจ้างล้างจาน และเป็นเด็กเสิร์ฟให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งเงินที่ได้ตอนนั้น คิดเป็นรายชั่วโมง ประมาณ 36 บาท 

ผมไม่ได้ชอบที่จะมานั่งร้านจาน หรือเป็นเด็กเสิร์ฟ แต่ด้วยข้อจำกัดของประเทศไทยเองที่แตกต่างจากฟินแลนด์ เลยทำให้ผมมีทางเลือกในการหางานทำได้ไม่มากนัก ขณะเดียวกัน ด้วยนิสัยของผมที่ชอบเรียนรู้ และช่วยเหลือทุกคนทำทุกอย่าง บางครั้งหลังจากที่ผมทำงานในส่วนที่รับผิดชอบเรียบร้อยแล้ว ก็จะไปขอแผนกอื่นช่วย แต่บางครั้งความที่ผมเป็นลูกครึ่ง ก๋ทำให้ผมได้รับโอกาสดีๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะ การได้เจอลูกค้าชาวต่างชาติ ที่ทำให้เรามีบทสนทนาภาษาอังกฤษ คุยกันอยู่เสมอแต่ทว่า นั่นก็ไม่ได้ทำให้ตำแหน่งชอง เชฟแพท เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น

ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ

เรียกว่า ตอนที่ทำงานร้านอาหาร และสามารถทำได้ทุกตำแหน่ง ก็ทำให้ผู้ชายคนนี้ เริ่มค้นพบว่า การเป็นคนที่ทำงานอยู่ในครัว ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสียทีเดียว แถมยังรู้สึกเริ่มชอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหารไปอย่างไม่ทันรู้ตัวผมทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จนจบมัธยมปลาย และเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ต้องใช้วิธีหาทุนเรียนเอง ด้วยการนำประสบการณ์ที่มีทั้งหมดของผม ไปยื่นให้กับทางมหาวิทยาลัย จนได้เข้าเรียนที่ วิทยาลัยดุสิตธานี ในที่สุด และก็ยังคงทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ด้วยการทำงานเป็นคนสอนปั้นแป้ง ในร้านขนมปัง และ สอนแต่งหน้าเค้กเชฟบอกกับเราว่า ตลอดระยะเวลาที่ต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เขาไม่มีเพื่อนที่ไปเที่ยวสังสรรค์ เฮฮา เหมือนคนอื่นๆ เพราะทุกอย่างถูกโฟกัสไปที่เรื่องของการทำงานมากกว่า 

กระทั่งวันหนึ่ง อาจจะเรียกว่า เป็นโอกาสที่เข้ามาในชีวิต ก็ว่ได้ เมื่อรายการมาสเตอร์เชฟ เอเชีย ตอนพิเศษ เข้ามาถ่ายทำรายการที่เมืองไทย และกำลังตามหานักศึกษาฝึกงาน ที่จะมาช่วยในรายการแต่ทั้งหมดมีเงื่อนไขมากมาย ที่มีตั้งแต่ ต้องเป็นคนที่เคยผ่านการฝึกงานมาแล้ว หรือเรียนในชั้นปีที่ 3 หรือจบไปแล้ว ที่สำคัญมีเกณฑ์อายุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งผมตอนนั้น อายุ 18 ปี ก็ยังไม่เข้าเกณฑ์ แต่ผมก็ลองยื่นสมัครดู แต่แล้วก็ถูกตีกลับ

จุดเปลี่ยนของชีวิต 

แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้ ผู้ชายคนนี้ ละทิ้งความพยายามผมนึกถึงคำพูดของคุณพ่อ ขึ้นมาประโยคหนึ่งทันทีว่าโอกาสบางที ถ้าเป็นโอกาสที่ไม่มีวันจะหวนมาอีก เราก็ต้องหาทางเอาโอกาสนั้นมาให้ได้ด้วยเหตุนี้ ผมเลยขอเข้าพบ ท่านอธิการบดีของวิทยาลัย ซึ่งท่านถือเป็นคนเปลี่ยนชีวิตของผมไปเลยก็ว่าได้ ท่านพาผมเข้าไปหาทีมงานเพื่อสัมภาษณ์ สุดท้ายผมก็ได้รับเลือกให้เข้าไปทำงานกับรายการที่ว่านี้อย่างที่ผมตั้งใจเชฟบอกว่า จากจุดเปลี่ยนขีวิตนี้เองทำให้เขาได้มีโอกาสต่อยอด การทำงานได้อีกมากมาย โดยเฉพาะ การได้ทำงานร่วมกับเชฟ ระดับมาสเตอร์และ ฟู้ดสไตลิส ชื่อดังของประเทศไทยหลายๆ ท่านด้วย ตลอดจน การเข้ามาทำงานเป็น Corporate Executive Chef ให้กับบริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) เจ้าของซอสศรีราชาตราห่านบิน ที่มีมากกว่า 30 รสชาติ และจำหน่ายไปทั่วโลก 

เชฟแพท เล่าต่อว่า นอกจากการดูแลเรื่องของสูตรซอสศรีราชาแล้ว เขายังทำหน้าที่เป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับซอสพริกศรีราชา ด้วยการทำคอนเทนต์ต่างๆ เพื่อนำเสนอความเป็นซอสพริกในอีกรูปแบบหนึ่ง ตลอดจนการไปผจญภัย ที่ทำให้ทุกคนได้มองเห็นวิธีคิดที่ฉีกกรอบเดิม ๆ ออกไป รวมถึงการไปทำงานร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับแบรนด์ Eggy Day เส้นหมี่ไข่ขาวที่จะมาช่วยคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องรูปร่าง รวมถึงคนที่กำลังลดน้ำหนัก และคนไม่กินแป้ง 

หลักการดำเนินชีวิต

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เชฟแพท บอกว่า ส่วนหนึ่งมาจากคำสอนของชาวฟินแลนด์ ที่เรียกว่า SISU (ซิสุ) ที่คุณพ่อของผมสอนมาตั้งแต่เด็ก โดยมีความหมายง่ายๆ ว่า ชีวิตไม่มีกำแพง ขอแค่เราฝ่าไปให้ได้ และทำในสิ่งที่อยากทำต่อให้มีคนมาบอกว่า ไม่ให้ทำ ไม่คุ้ม หรือไม่ดี ถ้าเราไม่ฟัง และทดลองทำ ก็จะทำให้เราได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ผมอยากบอกว่า หากเรากำลังออกไปท่องเที่ยวรอบโลก แล้วมีคนบอกอย่าทำ ก็อย่าไปฟังคนที่ไม่เคยทำสิ่งนั้นมาก่อน 

ผมอยากจะบอกว่า วันนี้ ผมทลายเป้าหมายในชีวิตของตัวเองมาได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหางานที่มีหลักฐานมั่นคง แล้วยึดเป็นอาชีพ หรือจะเป็นเรื่องของการอยากทำงานตกแต่งภายใน ผมก็ได้ทำแล้วเช่นกัน รวมถึง ก็เคยอยากทำงานพิธีกร ผมก็ทำได้แล้ว และผมอยากเดินทางรอบโลก ผมก็ทำได้แล้วเหมือนกัน ตอนนี้ หากถามว่า เป้าหมายต่อไปของผมอากทำอะไร ผมก็อยากหาความสงบด้านจิตใจ รวมถึง การรักษามาตรฐานการทำงานของเราให้สูงขึ้นเรื่อยๆทั้งหมดนี้ ถือเป็นความสำเร็จ ที่เกิดจากความมานะ ที่ออกจากหัวใจของผู้ชายที่ชื่อแพท ไนลันด์อย่างแท้จริง 

Facebook Comments


Social sharing

Related post