Digiqole ad

อนาคตกองทุนประกันสังคม : อนาคตประเทศไทยบนความท้าทาย

 อนาคตกองทุนประกันสังคม : อนาคตประเทศไทยบนความท้าทาย
Social sharing
Digiqole ad
ที่รัฐสภา มีวาระการประชุมที่สำคัญคือการรับทราบผลการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งในส่วนของ สส. พรรคก้าวไกล มีผู้อภิปรายหลายประเด็นถึงสถานภาพของกองทุนฯ รวมถึงสถานการณ์ภาพรวมของระบบประกันสังคมในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่มีการอภิปรายวันนี้ นอกจากการช่วยกันทวงเงินสมทบจากรัฐบาลที่ค้างจ่ายมาหลายงวด ปัญหาสิทธิประโยชน์ที่ไม่เสมอภาคระหว่างผู้ประกันตนมาตราต่างๆ รวมถึงปัญหาสถานภาพของกองทุนที่เก็บรายได้ได้น้อยลงสวนทางกับรายจ่ายแล้ว
📌 ก็คือปัญหาใจกลางที่ว่า ผ่านไป 30 ปี กองทุนฯ วันนี้ ได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ไปเพียงใดแล้ว ในการเป็น ‘เสาหลัก’ หลักประกันคุ้มครองแรงงานของประเทศไทย
👉 สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล คือหนึ่งในผู้อภิปรายของพรรคก้าวไกลที่ชี้ให้เห็นถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจนที่สุด
สิทธิพลระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานที่ไม่ใช่ข้าราชการ 36 ล้านคน ในจำนวนนี้มี 18 ล้านคนเป็นลูกจ้างในระบบ แต่อีก 18 ล้านคนยังอยู่นอกระบบในบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียน และมีเพียง 4% เท่านั้นที่ได้รับความคุ้มครอง นั่นหมายความว่าอีก 96% ยังตกหล่นจากความคุ้มครอง ทั้งที่แรงงานนอกระบบเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในความเข้มแข็งของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ
ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อมวันนี้คิดเป็น 96% ของธุรกิจทั้งหมด ยิ่งธุรกิจเล็ก แรงงานก็ยิ่งอยู่นอกระบบมากขึ้นและยิ่งได้รับความคุ้มครองที่น้อยลง กว่าครึ่งของแรงงานในธุรกิจขนาดเล็กที่มีการจ้างงานน้อยกว่า 49 คนไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครอง ขณะที่กว่า 88% ของแรงงานในธุรกิจขนาดย่อมที่มีการจ้างงานน้อยกว่า 5 คน ไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆ เลย
มีหลายเหตุผลที่ทำให้ปัจจุบันแรงงานเหล่านี้ตกหล่นจากความคุ้มครอง นั่นคือ
1) รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไปเป็นไม่ทางการมากขึ้น เช่น งานพาร์ทไทม์ กิจการส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งระบบประกันสังคมไม่ได้ถูกออกแบบมารองรับงานกลุ่มนี้
2) ระบบประกันสังคมภาคสมัครใจไม่จูงใจมากพอในการดึงดูดผู้ประกันตนมากขึ้น
และ 3) การขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่จะส่งเสริมให้คนเข้าสู่ระบบประกันสังคมมากขึ้น
จากการรวบรวมข้อมูลขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประกันสังคมภาคบังคับ ม.33 และกองทุนเงินทดแทนของไทยในปัจจุบัน ครอบคลุมแรงงานเพียง 9-11 ล้านคน จากแรงงานทั้งสิ้น 36 ล้านคน นั่นหมายความว่าเรามีแรงงานที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น
ขณะที่การประกันตนแบบสมัครใจตาม ม.39 คุ้มครองแรงงานเพียง 4% ของแรงงานทั้งหมด ส่วนการประกันตนตาม ม.40 คุ้มครองแรงงานต่ำกว่า 1% ของแรงงานทั้งหมด
กองทุนประกันสังคมมีความสำคัญในการเป็นแหล่งประกันความมั่นคงในชีวิต แต่หากแรงงานไม่สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์หรือความคุ้มครองได้อย่างทั่วถึง นั่นจะเป็นปัญหาสำคัญในอนาคต
จากข้อมูลทั้งหมด สะท้อนว่าปัญหาการจ้างงานนอกระบบและระดับความคุ้มครองแรงงานภายใต้กองทุนประกันสังคมกำลังอยู่ในภาวะจำกัดและมีปัญหา กองทุนฯ จำเป็นต้องหาแนวทางในการเร่งดึงดูดแรงงานนอกระบบให้เข้าร่วมกองทุนฯ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันให้ได้ ต้องมีมาตรการเชิงรุกออกแบบแรงจูงใจที่เหมาะสมให้แรงงานนอกระบบอยากเข้ากองทุนฯ
สำหรับข้อเสนอต่อกองทุนประกันสังคม สิทธิพลเสนอว่า
1) กองทุนฯ จำเป็นต้องทำงานร่วมกับส่วนราชการอื่นๆ เพื่อสร้างมาตรการจูงใจที่ดีพอในการดึงดูดธุรกิจให้เข้าสู่ระบบ เช่น นโยบายหวยใบเสร็จ เพื่อช่วยเหลือด้านภาษี การเงิน และแหล่งเงินทุน เพื่อเป็นกลไกจูงใจให้ธุรกิจเข้าสู่ระบบ
2) ทำระบบขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้ง่ายขึ้นภายใต้หน่วยงานเดียว ไม่ซับซ้อน พัฒนาระบบรองรับเชื่อมกับฐานข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้แรงงานอิสระขึ้นทะเบียนได้
และ 3) กองทุนต้องปรับแก้นิยามความหมายของการจ้างงานในปัจจุบันซึ่งแตกต่างจากในอดีตมาก ปัจจุบันเรามีแรงงานประเภทใหม่ เช่น บนธุรกิจแพลตฟอร์ม หรือเป็นโปรเจกต์ระยะสั้น ซึ่งนับวันมีขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“การบริหารจัดการกองทุนประกันสังคมมีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศ โดยเฉพาะในภาวะสังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่กระทบการจ้างงาน และภาวะเศรษฐกิจ ความเป็นไปของกองทุนประกันสังคมเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว” สิทธิพลกล่าว
ตลอดการพิจารณาวันนี้ ส.ส.พรรคก้าวไกลยังมีการอภิปรายในอีกหลายประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
– ปัญหาจากการที่มีกลุ่มผู้ประกันตนออกจากระบบประกันสังคมคิดเป็นเงินกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท สวนทางกับค่าใช้จ่าย ที่ในปี 2563 กองทุนฯ มีค่าใช้จ่ายกว่า 1.3 แสนล้านบาท และในปี 2564 กว่า 1.5 แสนล้านบาท
– กรณีรายได้เงินสมทบตาม ม.33 ม.39 ม.40 และเงินสมทบจากรัฐบาล ปี 2563-2564 ลดลงไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท
– กรณีสิทธิประโยชน์การรักษาที่ได้รับไม่เท่าเทียมกัน กับสิทธิจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ซึ่งเป็นความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ทั้งที่ผู้ประกันตนต้องออกเงินสมทบด้วย
– การที่ผู้ประกันตนตาม ม.40 ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมกันกับผู้ประกันตนตาม ม.33 และ ม.39 ไม่ว่าจะเป็นกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการคลอดบุตร
– การลดระเบียบขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้แรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีเป็นจำนวนมากในระบบเศรษฐกิจไทย ได้ขึ้นทะเบียนส่งเงินสมทบเข้าเงินกองทุนประกันสังคม เพิ่มรายได้ให้กองทุนประกันสังคมอย่างยั่งยืน
ที่มา : เพจพรรคก้าวไกล
Facebook Comments

Related post