
สมรภูมิเมียนมา

สองชาติมหาอำนาจกำลังใช้ “เมียนมา” เป็นสมรภูมิแสดงอิทธิพลบนเวทีโลก
สหรัฐอเมริกานำโดย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสดๆร้อนๆต้องการโชว์ฝีมือแสดงบทบาทความเป็นผู้นำโลกด้านประชาธิปไตย นัยว่าเพื่อเอามาบดบังปัญหาโควิด-19 ที่ติดและตายมากที่สุดในโลก
สาธารณรัฐประชาชนจีนนำโดย สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีที่ไม่มีกำหนดวาระ หัวขบวนสังคมนิยมที่ประสบความสำเร็จในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่กำลังไล่บี้อเมริกาแบบหายใจรดต้นคอ ต้องการปกป้องเพื่อนบ้านที่เป็นเสมือน “พี่น้องท้องเดียวกัน”
“เมียนมา” เป็นแค่ประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่มอาเซียนที่มีประชากรแค่ 54 ล้านคน แม้จะมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่การตกอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการทหารมายาวนาน มีปัญหาการสู้รบกับชนกลุ่มน้อย จึงขาดความต่อเนื่องในการพัฒนา กระทั่งระยะหลังที่ปรับสู่เส้นทางประชาธิปไตยมีรัฐบาลพลเรือนเข้าปกครองประเทศภายใต้การนำของนางอองซาน ซูจี แห่งพรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตย(NLD) ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่เมียนมาด้วยความเนื้อหอมด้านการค้าการลงทุน
แต่ผลการาเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปลายปี 2563 ที่พรรคNLDกวาดที่นั่งส่วนใหญ่ในสภา ทิ้งห่างพรรคสหสามัคคตีและการพัฒนา(USDP)ที่กองทัพให้การสนับสนุน จึงเป็นที่มาของข้อกล่าวหาทุจริตการเลือกตั้ง เป็นที่มาของการรัฐประหารเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่มาของการลงถนนประท้วงจากประชาชนทั้งประเทศ
สหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้กองทัพเมียนมาปล่อยตัวนางอองซานนักการเมือง ผู้นำการประท้วงและพลเรือนที่ถูกควบคุมตัว และให้ยกเลิกประกาศฉาวะฉุกเฉิน สละอำนาจที่ยึดมาจากประชาชน
โจ ไบเดน ลงนามประกาศคว่ำบาตรผู้นำในกองทัพเมียนมาประมาณ 10 นาย รวมถึงสมาชิกและครอบครัว ขึ้นบัญชีดำบริษัทค้าอัญมณีและหยก 3 แห่งที่กองทัพเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังห้ามกองทัพเข้าถึงกองทุนที่รัฐบาลเมียนมาถืออยู่มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลวอชิงตันยังเรียกร้องให้ชาติสมาชิกสหประชาชาติร่วมคว่ำบาตรเมียนมาเหมือนกับสหรัฐฯ เพื่อกดดันเมียนมาให้กลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว
อเมริกาหวังให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UNSC)ที่สหรัฐอเมริกาเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวร(ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย)ประณามกองทัพเมียนมาและเข้าแทรกแซงทางการเมืองแบบชอบธรรม แต่จีนและรัสเซียใช้สิทธิวีโต้
เป็นที่รู้กันดีว่าจีนช่วยปกป้องรัฐบาลเผด็จการเมียนมาไม่ให้ถูกตรวจสอบจากนานาชาติมายาวนาน เช่นเรื่องการกวาดล้างชาวมุสลิมโรฮีนจา ในรัฐยะไข่ ที่ทั่วโลกประณามว่าเป็นการการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง แต่จีนทำนิ่งเฉยเพราะจีนก็ถูกโจมตีเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวมุสลิมอุยกูร์ในเขตซินเจียงเช่นกัน
จีนมีเหตุผลในทางยุทธศาสตร์ที่ต้องปกป้องกองทัพเมียนมาเพราะมีพรมแดนติดต่อกันกว่า 2,000 กิโลเมตร จึงไม่อาจปล่อยให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลเหนือเมียนมาซึ่งจะเป็นภัยต่อความมั่นคง ขณะเดียวกันเมียนมาคือเส้นทางยุทธศาสตร์ที่พาจีนออกสู่มหาสมุทรอินเดียและต่อขยายไปยังตลาดอาเซียน
โครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา (CMEC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมยุคใหม่ (Belt and Road Initiative : BRI ) ที่จีนทุ่มงบประมาณถึง 8,900 ล้านเหรียญ หรือกว่า 2.6 แสนล้านบาทในโครงการเมกะโปรเจคที่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเจาะพยู ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม ท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการปรับปรุงขยายปริมณฑลเมืองย่างกุ้ง
การลงทุนระดับมหึมาของจีนดังกล่าวเพิ่งจะลงนามกันที่เมียนมาเมื่อต้นปี 2563 โดยสี จิ้นผิง บินไปเป็นสักขีพยานร่วมกับนางอองซาน ซูจี
ตอนนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ยังนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ยังทำสงครามการค้ากับจีนโดยไม่สนใจเมียนมา ไม่สนใจอาเซียน จึงปล่อยให้จีนเข้าไปมีบทบาทในเมียนมาอย่างเต็มที่
การรัฐประหารในเมียนมาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสให้อเมริกากลับสู่เมียนมาและอาเซียนอย่างไม่ลังเล แต่จีนก็ไม่อาจปล่อยให้อเมริกาเข้ามาขัดขวางแผนการลงทุนและการขยายอิทธิพลในอาเซียนได้ง่ายๆ
การวีโต้ UNSC ไม่ประณามไม่คว่ำบาตรกองทัพเมียนมาทำให้รัฐบาลปักกิ่งถูกผลักไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับชาวเมียนมาที่กำลังออกมาประท้วงกองทัพเมียนมา
มีการปล่อยข่าวลือว่าจีนส่งผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีพร้อมอุปกรณ์ทันสมัยไปช่วยกองทัพเมียนมาตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต จึงมีการชุมนุมหน้าสถานทูตจีนในนครย่างกุ้ง ถือแผ่นป้ายเรียกร้องจีนไม่ให้สนับสนุนกองทัพเมียนมา
ผู้ชุมนุมประท้วงแห่งหนึ่งมีรูปสี จิ้นผิง พร้อมคำบรรยาย WE ARE WATCHING YOU! MR.XI JINPING เรากำลังจับตาดูคุณอยู่นะ สี จิ้นผิง
ภาพนี้ออกไปพร้อมกับข่าวบนโลกโซเชียลมีเดียว่าชาวเมียนมาพร้อมจะต่อต้านทุกโครงการลงทุนของจีนหากจีนสนับสนุนการรัฐประหารครั้งนี้
ฝ่ายอเมริกาเห็นภาพข่าวนี้แล้วก็ยิ้มว่า “เข้าทาง” หรือดีไม่ดีอาจอยู่เบื้องหลังการผลิตด้วยซ้ำ
ตอนนี้กองทัพเมียนมาเริ่มขนยุทโธปกรณ์ออกมารับมือการประท้วง ชาวเมียนมาบอกว่ากลางวันยิงกลางคืนทหารออกกวาดจับ
ดูแนวโน้มจะมีความรุนแรงและยืดเยื้อ เพราะ “สมรภูมิเมียนมา” มีมหาอำนาจหนุนหลังฝ่ายประชาธิปไตยและเผด็จการ