![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
สปิริตของผู้นำประเทศ
![สปิริตของผู้นำประเทศ](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2023/01/ปลายซอย17-3.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
จากส่งท้ายปีเก่ามาเข้าปีใหม่ยังไม่ถึงเดือน ได้ปรากฏข่าวการลาออกของผู้นำประเทศทั้งบ้านใกล้เรือนเคียง และที่อยู่ห่างไกล ในช่วงเวลาติดต่อกันถึง 3 ประเทศด้วยเหตุผลที่แตกต่าง แต่เมื่อนำมาเทียบกับผู้นำไทยคนปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ที่จะมีการเลือกตั้งแล้ว น่าเป็นจะช่วยเปิดหูเปิดตาคนไทยได้มากขึ้นว่าต้องการผู้นำแบบใด
วันที่ 30 ธันวาคม 2565 ก่อนสิ้นปี ดร.พันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) ได้ขอลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ ทั้งๆที่รับตำแหน่งมายังไม่ถึง 2 ปี
แม้จะอ้างปัญหาสุขภาพแต่คนลาวส่วนใหญ่เชื่อว่า คงไม่ใช่ “ปวดตับ” แต่น่าจะ“ปวดใจ”มากกว่าที่ต้องเข้ามาแบกรับความเดือดร้อนของคนในชาติ จึงต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศได้นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะพื้นฐานของดร.พันคำคือด้านการศึกษาและเติบโตมาในสาย “ครู”
สถานการณ์ในสปป.ลาววันนี้แม้โควิดจะเบาบางลงแล้ว แต่อัตราเงินเฟ้อยังสูงถึงร้อยละ 40 ค่าเงินกีบยังตกต่ำ ค่าครองชีพสูง คนว่างงานสูงถึง 5 แสนคน ยังมีปัญหาน้ำมันขาดแคลนเพราะขาดเงินตราต่างประเทศที่ต้องใช้ซื้อน้ำมัน มีปัญหาหนี้สินต่างประเทศ และถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการให้สัมปทานโครงการเหมืองแร่ขนาดใหญ่หลายแห่งกับนักลงทุนต่างประเทศ มีปัญหาบริษัทต่างชาติหลีกเลี่ยงการชำระภาษีที่คาดว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังมีส่วนร่วมในการคอรัปชั่น
วันนี้ สอนไชย สีพันดอน จากรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสปป.ลาว คงต้องแสดงฝีมือในการกอบกู้เศรษฐกิจอย่างเต็มที่
วันที่ 17 มกราคม 2566 ก่อนฉลองตรุษญวน “ปีแมว” (เวียดนามใช้แมวแทนกระต่าย) เหวียน ซวน ฟุก ได้ลาออกจากตำแหน่ง ประธานาธิบดีของเวียดนาม หลังจากรับตำแหน่งไม่ถึง 2 ปี เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการละเมิดวินัยและการกระทำผิดของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีบางคนในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีช่วงปี 2559 – 2564
ก่อนหน้านี้มีข่าวจากสื่อเวียดนามว่าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้ทำการปราบปรามการคอรัปชั่นในหมู่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูง ทำให้ตรวจพบการทุจริตช่วงโควิดระบาดกรณีการรับสินบนในการจัดเที่ยวบินเพื่อพาชาวเวียดนามกลับจากญี่ปุ่น โดยมีการโยงถึงบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี นักการทูตที่ประจำญี่ปุ่น และข้าราชการอีกหลายคน
แม้เศรษฐกิจเวียดนามในปีที่ผ่านมาจะเติบโตถึง 8.02 % สูงที่สุดในรอบ 25 ปี จากพื้นฐานความแข็งแกร่งของการส่งออกและกำลังการบริโภคในประเทศ อีกทั้งยังสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้จำนวนมาก แบรนด์ดังระดับโลกเลือกลงทุนที่เวียดนาม หรือย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามถือเป็นดาวเด่นของอาเซียนที่ไทยเราเองยังอิจฉาและมีหลายเสียงบอกว่าเวียดนามกำลังแซงไทย โดยผู้มีบทบาทสูงคือประธานาธิบดี เหวียน ซวน ฟุก ซึ่งมีเสียงชื่นชมจากนานาประเทศ
ช่วงโควิด-19 ระบาด รัฐบาลเวียดนามสามารถดำเนินนโยบายควบคุมการแพร่ระบาดแบบไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไป พร้อมๆกับการประคับประคองเศรษฐกิจผ่านพ้นมาได้ด้วยดี แต่ก็เพราะโควิดนี่แหละที่สุดท้ายเป็นผลให้เหวียน ซวน ฟุก อยู่ต่อไม่ได้ ต้องแสดงสปิริตลาออกเมื่อพบปัญหาคอรัปชั่นที่เกิดมาจากลูกน้องที่ตนเองแต่งตั้ง
จากเวียดนามถัดมาแค่วันเดียว 18 มกราคม 2566 จาซินดา อาร์เดิร์น ประกาศลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ทั้งๆที่ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 9 เดือน และยืนยันจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2566 แม้ปีนี้เธออายุแค่ 42 ปียังสามารถเล่นการเมืองได้อีกยาวนาน
ตอนที่เธอขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เมื่อปี 2560 ขณะที่มีอายุ 37 ปี เธอได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้นำหญิงอายุน้อยที่สุดในโลก โดยภารกิจในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถือว่าสอบผ่านทั้งเวทีโลกและเวทีในประเทศ
แต่เพราะไม่ยึดติดกับอำนาจ เพราะรู้ตัวว่าคะแนนนิยมกำลังเป็นขาลง เพราะขาดไฟที่จะทำงานให้ดีอีกต่อไป เพราะมีบทบาทของ “แม่”ที่ต้องเลี้ยงดูลูกสาวที่กำลังเติบโต เพราะไม่อยากทำร้ายประเทศ เธอจึงขอยอมถอยให้ผู้มีความสามารถที่จะทำงานได้ดีกว่า
ประโยคหนึ่งในวันที่เธอประกาศลาออกคือ “ การเป็นผู้นำประเทศเป็นงานที่ได้รับสิทธิพิเศษที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะได้รับ แต่ก็เป็นงานที่ท้าทายที่สุดเช่นกัน ”
โทนี่ วู้ดซั่ม หรือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งที่ถูกรัฐประหาร ให้ความเห็นในกรณี นางจาซินดา อาร์เดิร์นว่า อายุเพียง 42 ปี ประกาศลาออก เพราะเขามองว่า เขาเริ่มไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เกรงว่าตัวเองจะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ อย่างนี้ถึงเรียกว่า “รักชาติจริง”
เดือนมกราคม 2566 การเมืองไทยเริ่มกะเก็งวัน “ยุบสภา” เพื่อนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง โดยทุกสายตายังติดตามความเคลื่อนไหวของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เปิดหน้าสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อย่างเป็นทางการแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวบนเวที รทสช.ว่าไม่ใช่อยากเป็นใหญ่ ไม่ใช่อยากมีอำนาจ ที่เลือกมาสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติเพราะเคารพในกระบวนการประชาธิปไตย เพื่อแก้ปัญหาชาติที่ยังเหลืออยู่ เพื่อให้ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองให้เร็วที่สุด ต้องการสานต่อโครงการที่ค้างคาในรัฐบาลนี้ให้เดินหน้าต่อ
คนที่กล้ายกมือกลางสภายอมรับว่าเป็นคนทำรัฐประหาร ต่อท่ออำนาจจาก คสช. ให้คนเขียนรัฐธรรมนูญ ที่มี สว.แต่งตั้ง 250 เสียงมาหนุนให้เป็นนายกฯทั้งๆที่ไม่ได้ลงเลือกตั้ง
ตั้งแต่ 2557 – 2565 ครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมา 8 ปียังไม่พอ เพราะศาลรัฐธรรมนูญตีความได้สุดยอดว่ายังไม่ครบ ความลุ่มหลงเสพติดอำนาจ อยากนั่งต่ออีก 2 ปี หรืออาจจะอยู่ให้ครบ 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติ
คนดีมีสปิริตเช่นนี้เปรียบเทียบกับ 3 ผู้นำต่างประเทศข้างต้นแล้วท่านคิดเห็นเช่นไร?
สมควรเป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศไทยหรือไม่?