
ว่าที่รัฐบาลใหม่ สุขใจได้วันเดียว


ต้องบันทึกเอาไว้ว่า วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นวันที่คนไทยหลายสิบล้านคนที่มีความยินดีกับการได้ออกไปใช้สิทธิใช้เสียงหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในรอบ 4 ปี และเมื่อรู้ผลการเลือกตั้งในคืนวันนั้น ผู้ใช้สิทธิส่วนใหญ่มากกว่า 25 ล้านคนได้นอนหลับอย่างเป็นสุขว่า เมื่อตื่นขึ้นในวันใหม่จะพบกับการเริ่มต้นการเมืองยุคใหม่ มีความหวังจะได้พบอนาคตอันสดใสของประเทศไทยทั้งการกิน การอยู่ การคิด หลังจากที่จมปลักกับอำนาจนิยมและการคอรัปชั่นมายาวนาน 9 ปี
แต่ฝันหวานได้คืนเดียว มีความสุขได้แค่วันเดียวเมื่อได้เห็นว่าพรรคการเมืองซีกประชาธิปไตยมีคะแนนรวมเหนือกว่าพรรคฝ่ายนิยมรัฐประหารเดิม
เพราะหลังจากที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการ ประกาศรวมเสียง 8 พรรคการเมือง ประกอบด้วยพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม พรรคพลังสังคมใหม่ ร่วมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แค่นั้นยังไม่พอ ยังคิดจะเก็บเศษเพิ่มจนเกิดเป็นเรื่อง
เมื่อพลาดไปเชิญ พรรคชาติพัฒนากล้า ที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช เป็นหัวหน้าพรรค มาเข้าร่วมหวังอีก 2 เสียง แต่ถูกติ่งส้มประท้วงสวนกระแสว่า # มีกรณ์ไม่มีกู เพราะกรณ์เคยร่วมเป่านกหวีดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้การชุมนุมของ กปปส.จนเป็นที่มาของการรัฐประหารปี 2557
ขณะที่อีกฝ่ายแอบเชิญ พรรคใหม่ เข้าร่วมรัฐบาลเพราะหวังเพิ่มอีก 1 เสียง แต่เอฟซีพรรคก้าวไกลขุดพบอีกว่ากรรมการบริหารพรรคใหม่คนหนึ่ง เคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกลแบบรับไม่ได้
สุดท้ายต้องล้มดีล 2 พรรค เป็นบทเรียนของการใจเร็วด่วนได้ จึงต้องคงไว้ที่ 8 พรรค 313 เสียง ซึ่งเพียงพอแก่การจัดตั้งรัฐบาล แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับการรับรองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการเสียงจากรัฐสภาอย่างน้อย 376 เสียง นั่นหมายถึงยังขาดอีกอย่างน้อย 63 เสียง ที่ต้องการการสนับสนุนจากส.ส.ที่มีอยู่อีก 187 เสียง หรือส.ว.ที่มีอยู่ 250 เสียง
ที่หวังจากส.ส.นั้นคงได้จาก ชาติพัฒนากล้า 2 เสียงที่เจ้าของพรรคอย่างสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เอ่ยปากแล้วว่าสนับสนุนพิธา และอีก 1 เสียงจากพรรคใหม่ที่หัวหน้าพรรคบอกยกมือให้ เท่ากับยังต้องการอีก 60 เสียงเพื่อสนับสนุนนายพิธา
เสียงจาก 3 พรรคอย่างพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และภูมิใจไทยนั้นตัดไปเลย
ส่วนที่จะหวังลมๆแล้งๆจากพรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง ซึ่งวันแรกๆหลังเลือกตั้งมีส.ส.สอบตก 2-3 คนออกมาเรียกร้องให้เพื่อนส.ส.ยกมือให้พิธาเพื่อแสดงสปิริตความเป็นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยและเพื่อสร้างภาพพจน์ใหม่ของพรรคที่กำลังเป็นขาลงนั้นคงยาก เพราะจนถึงวันนี้เมื่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อแสดงความรับผิดชอบจากความพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งแล้ว ตัวเองก็ยังหาใครที่เหมาะสมมาทำหน้าที่ผู้นำพรรคคนใหม่ไม่ได้
แม้แต่นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ควรแสดงสปิริตสูงสุดก็ยังอดจิกกัดก้าวไกลและเพื่อไทยไม่ได้
และอย่าลืมว่านายหัวชวนก็เคยแขวนนกหวีดไปเดินร่วมม็อบกับนายสุเทพ เคยไปนั่งวาดรูปอยู่ข้างๆเวที กปปส. เสมือนการให้กำลังใจผู้ชุมนุม
สำหรับเสียงจากส.ว.นั้นแม้จะมีส่วนหนึ่งกล้าแสดงจุดยืนว่าจะโหวตให้ซึ่งคงมีประมาณไม่เกิน 30 คน เมื่อเทียบกับส่วนใหญ่ที่จะงดออกเสียง และคัดค้าน ก็คงต้องลุ้นกันแบบ “เยี่ยวเหนียว” ในวันประชุมรัฐสภาครั้งแรกแบบห้ามป่วย ห้ามลา ว่าเสียงจะเกินกว่า “กึ่งหนึ่ง” ของที่ประชุม 700 คนหรือไม่
การเซ็น MOU จับมือผู้นำ 8 พรรค แถลงข่าวถึงพันธกิจร่วม 23 ข้อ คือจุดเริ่มต้นของสัญญาว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่รุ่งขึ้นกลับมาทะเลาะกันเองผ่านสื่อ
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทะเลาะกับ น.ต.ศิธา ทิวารี พรรคไทยสร้างไทย ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง บรรดาลูกพรรคของแต่ละพรรคเริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีที่พรรคไหนควรได้ครอง หรือใครจะเหมาะสมกว่าใคร นโยบายหาเสียงที่ไม่บรรจุในMOU ฯลฯ
พฤติกรรมของนักการเมืองที่เริ่มออกลายทำให้ชาวบ้านรู้สึกผิดหวังกับการเทคะแนนให้
ขณะที่ภาคธุรกิจรู้สึกกลัวนโยบายประชานิยมที่สองพรรคใหญ่หาเสียงเอาไว้ อาทิการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 450 บาท การเพิ่มเบี้ยยังชีพคนชราจากเดือนละ 600-800 บาท เป็น 3,000 บาท การกำจัดทุนผูกขาดที่ครอบงำระบบเศรษฐกิจของชาติ
นโยบายต่างประเทศที่หลายคนเป็นห่วงว่าพรรคก้าวไกลจะนำประเทศไทยเข้าซบตะวันตก ถอยห่างตะวันออก ถึงขนาดมีการปล่อยข่าวว่าจะให้ตั้งฐานทัพอเมริกันในไทย แม้ในข้อสุดท้ายของ MOU จะบอกว่าต้องการรักษาสมดุลของมหาอำนาจ แม้คนของพรรคก้าวไกลจะบอกว่าไม่ยอมให้ต่างชาติรุกล้ำอธิปไตยแน่นอน แต่ตราบใดที่รัฐบาลใหม่ยังไม่ได้แถลงนโยบายเป็นทางการก็คงยังลือกันต่อไป
เพราะ ช่อ-พรรณนิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เคยขึ้นเวทีช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกล พูดเรื่องนโยบายต่างประเทศว่า “การต่างประเทศของไทยทั้งทศวรรษที่ผ่านมา เป็นการต่างประเทศที่สูญหาย เสียเวลากับการเข้าผิดคลับ คือเมื่อประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ผู้นำไม่อยู่ในสถานะที่จะอยู่ในคลับของฝั่งประชาธิปไตย หรือโลกที่เป็นอารยะได้ ก็จำเป็นต้องเข้าหาคลับฝั่งที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน ”
เพราะว่าที่นายกฯพิธาเคยกล่าวว่า “ เราควรจะคิดนโยบายต่างประเทศแบบดูเป็นกรณีไปมากกว่าที่จะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ เพราะมันไม่ใช่ว่าเราต้องเข้าข้างใดข้างหนึ่งตลอดเวลา แต่เราต้องมีนโยบายเดี่ยวๆจำนวนหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไทย-สหรัฐ และไทย-จีน หรือไทยกับประเทศอื่นๆ”
ประเมินช่วงเวลากันว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะได้เริ่มทำงานประมาณต้นเดือนสิงหาคม หรืออีกกว่า 2 เดือนซึ่งแม้จะมีรัฐบาลรักษาการแต่ก็เหมือนสุญญากาศทางการเมืองที่จะเกิดข่าวปล่อย ข่าวลือ ข่าวลวง จากทุกฝ่าย สะท้อนการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์
8 พรรคที่จับมือร่วมรัฐบาลใหม่ควรช่วยกันสงบปากสงบคำสร้างความสมานฉันท์ หรือใช้เป็นเวลาในการทำการบ้านเตรียมพร้อมเริ่มงาน
ปัญหาบ้านเมืองมีอยู่มากมายที่รอการแก้ไขฟันฝ่า ไม่ใช่มารบรากันเอง
ประชาชนเลือกพวกท่านเข้ามาเพื่อให้โอกาส ให้ช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง
………………………………………………………