Digiqole ad

“วิชัย เข็มทองคำ” ผู้ปั้นแบรนด์ “คามินเนีย ลดเบาหวาน” ผนึกพลัง ม.มหิดล ทุ่มงานวิจัย ตั้งโรงงานผลิต 200 ล้านบาท

 “วิชัย เข็มทองคำ” ผู้ปั้นแบรนด์ “คามินเนีย ลดเบาหวาน” ผนึกพลัง ม.มหิดล ทุ่มงานวิจัย ตั้งโรงงานผลิต 200 ล้านบาท
Social sharing

Digiqole ad

เจ้าพ่ออาหารอันดับ 1 ประเทศเมียนมา  วิชัย เข็มทองคำ ลุยธุรกิจเสริมอาหาร คามินเนีย (Caminia) ลดเบาหวาน ทุ่มงานวิจัยจับมือ มหาวิทยาลัยมหิดล หมอและโรงพยาบาลต่างๆ ร่วมกันทำวิจัย เพื่อให้ได้สินค้าเกรดพรีเมี่ยม ใช้นวตกรรมนาโนเทคโนโลยี ทำให้ร่างกายดูดซึมได้มากถึง 50 เท่า ตั้งโรงงานผลิต 200 ล้าน รองรับการขยายตลาดทั่วประเทศ และเตรียมส่งออกไปต่างประเทศ ตั้งเป้าผลประกอบการปีหน้าทะลุ 450 ล้าน เผยโควิด-19 ทำให้ผู้คนสนใจด้านสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ยอดเสริมอาหารเติบโตอย่างรวดเร็ว

ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงสำหรับ คุณวิชัย เข็มทองคำ กรรมการ บริษัท โอเรียนท์ อินโนเวชั่น จำกัด นักธุรกิจเจ้าพ่ออาหารอันดับ 1 ประเทศเมียนมา ที่บุกตลาดพม่าจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าจะจับธุรกิจด้านไหนก็ประสบความสำเร็จ ล่าสุดก็เปิดตัวแบรนด์ คามินเนีย (Caminia) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รูปแบบแคปซูลเจลาตินนิ่ม ประกอบไปด้วยสารสกัดขมิ้นชัน น้ำมันปลา และ วิตามิน ดี3 เกรดพรีเมี่ยมที่มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับดูแลผู้ที่ต้องการลดเบาหวาน ซึ่งเป็นเสริมอาหารเกรดพรีเมี่ยม ทุ่มงานวิจัยกับมหาวิทยาลัยชื่อ โดยวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีและส่วนผสมที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะของคามินเนีย ทำให้ได้สารสกัดขมิ้นชันที่มีการกักเก็บในรูปแบบอนุภาคระดับนาโนเมตร ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ถึง 50 เท่า สร้างความฮือฮาให้วงการเสริมอาหารเป็นอย่างมาก

คุณวิชัย เล่าว่า  ธุรกิจเริ่มมาจากประสบการณ์ของนักวิจัยที่ทำการศึกษาคุณสมบัติของสาระสำคัญในขมิ้นชัน น้ำมันปลาทูน่า  และวิตามินดี 3 พบว่าคุณสมบัติของสามสิ่งนี้มีประโยชน์ด้านการช่วยฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวาน และทำการศึกษาวิจัยต่อยอดในด้านการนำสามสิ่งนี้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบซอฟท์เจล เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวาน และ ผู้ที่รักสุขภาพต้องการหลีกเลี่ยงจากการเป็นเบาหวาน  ได้รับประทานเป็นอาหารเสริมสุขภาพหลังจากที่ได้ทำการทดสอบในอาสาสมัครเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน ทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์  จึงได้เริ่มผลิตเพื่อออกจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2563 มาจนถึงปัจจุบันผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายค่อยๆดีขึ้นจากการแนะนำต่อโดยผู้ที่เคยรับประทานผลิตภัณฑ์ของเราไปสักระยะหนึ่ง ประมาณ 1-3 เดือน”

“กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน (ประมาณ 8%ของประชากร)  และผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน ซึ่งมีจำนวนมากกว่ากลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน  ตลอดจนผู้ที่มีสุขภาพปกติและต้องการที่จะรักษาสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวาน โดยการรับประทานเสริมอาหารที่มีคุณภาพที่เชื่อถือได้และมีความปลอดภัยสูง”

คุณวิชัย กล่าวถึงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ว่า เรามีความพร้อมด้านเทคโนโลยีในการนำผลงานวิจัยมาสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีเยี่ยม  มีความปลอดภัยสูงสำหรับผู้บริโภคเกือบทุกเพศทุกวัย ยกเว้นกลุ่มผู้ป่วยเกี่ยวกับนิ่วในถุงน้ำดี เรามีเทคโนโลยีในการสกัดสารสำคัญจากขมิ้นชัน การใช้นาโนเทคโนโลยีและการห่อหุ้มสารสำคัญให้มีอนุภาคเล็กขนาดประมาณ 200 นาโนเมตรเพื่อรักษาคุณสมบัติของสาระสำคัญ ให้ร่างกายสามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้ดีกว่าขบวนการปกติถึง 50 เท่า ช่วยให้ร่างกายได้ประโยชน์จากสาระสำคัญมากโดยการบริโภคเพียงจำนวนน้อย นอกจากนี้ เรายังมีน้ำมันปลาทูน่าเกรดดีมากซึ่งนำเข้าจากโรงงานของหุ้นส่วนของเราในเยอรมัน

ปัจจุบันเน้นการขายช่องทางออนไลนเป็นหลัก ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ ไลน์ รวมถึงมีการเริ่มทดลองในกลุ่มตัวแทนชุดแรกเพื่อทดสอบระบบที่เราเตรียมจะรับตัวแทนอีกในช่วงไตรมาสที่4 ของปี 2564 โดยเราจะเน้นที่กรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ก่อน แล้วจึงจะกระจายเข้าสู่ตัวแทนระดับถัดไปในปีหน้า จะได้รองรับกับแผนขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของเราด้วย ซึ่งเรามีแผนการลงทุนสร้างโรงงานสกัดสารสำคัญตลอดจนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาทและในเร็วๆนี้ เราจะมีวางจำหน่ายในร้านค้าสวัสดิการส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการในโรงพยาบาลราชวิถีด้วย

“สำหรับตัวแทนเรามี 2 ระบบครับ คือเป็นตัวแทนตัดสต็อกตามระบบมาตรฐาน เริ่มต้นที่30 กระปุก ก็จะได้กำไรที่ประมาณ 12000 บาทแล้ว ซึ่งสูงสุดจะเป็นตัวแทนตัดสต็อกที่ 400 กระปุก โดยได้กำไรถึง 300,000 บาท แต่ที่พิเศษกว่าคือ เนื่องจากในสถานการณ์แบบนี้ เราได้หารือกันว่าเราต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับบุคคลทั่วไป โดยเขาไม่ต้องมีความเสี่ยง เราจึงจะมีระบบตัวแทนแบบดรอปชิป คือคุณมีหน้าที่เอาสินค้าไปขายอย่างเดียว ขายได้ ส่งออเดอร์มา เราแพคให้ ส่งให้ถึงลูกค้าตรงเลย ไม่ต้องเอาเงินมาลงทุน ไม่ต้องเหนื่อยสต็อกแพคของส่งของด้วย ช่วยให้สร้างรายได้ได้อย่างรวดเร็ว”

ทางด้านการดำเนินธุรกิจในปี 2564 นั้น คุณวิชัยกล่าวว่า เน้นสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และสร้างชื่อและความน่าเชื่อถือด้วยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล และคุณหมอจากโรงพยาบาลองค์กรต่างๆ ที่มาร่วมกันวิจัย โดยปีนี้เราจะเน้นการสร้างแบรนด์เป็นหลัก เน้นย้ำจุดยืนเรื่องคุณภาพของสินค้า แหล่งที่มาและวัตถุประสงค์ของแบรนด์ที่ต้องการจะช่วยให้คนทั่วไปได้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ไม่ต้องเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล เราอาจจะยังเป็นแบรนด์ใหม่ในตลาด แต่ทีมวิจัยจาก มหาวิทยาลัยมหิดล คุณหมอจากโรงพยาบาลและองต์กรต่างๆ ที่อยู่ในทีมงาน หรือให้ปรึกษา มีส่วนช่วยให้งานวิจัยชิ้นนี้ออกสู่ท้องตลาดได้ เป็นทีมมืออาชีพที่เห็นภาพเดียวกัน ต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง  และนั่นคือสิ่งที่เราอยากสื่อออกไปให้ผู้บริโภคมั่นใจ โดยเราจะเริ่มมีการออกสื่อมากขึ้น งานสัมภาษณ์ ออกงาน เพื่อเน้นย้ำถึงจุดยืนนี้ให้ชัดเจนทั้งกับผู้บริโภคและตัวแทนของเรา ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าหมายให้มียอดจำหน่ายในปลายปี 2564 นี้จำนวน 20,000 กระปุก/เดือน หรือโดยประมาณที่ 30 ล้านบาทต่อเดือนครับถ้ารวมทั้งปี 2564 ตั้งไว้ที่ 80 ล้านบาท สำหรับเป้าหมายของยอดขายในปี 2565  คาดหวังยอดขายจำนวน 25,000 กระปุกต่อเดือน หรือคิดเป็นยอดขายทั้งปีประมาณ 450 ล้านบาท”

สำหรับช่วงวิกฤตโควิด-19 นั้นทางคุณวิชัยได้สร้างเทรนด์ด้านสุขภาพ ทำให้คนสนใจเสริมอาหารมากขึ้น หันมาลงทุนด้านสุขภาพคือ รับประทานเสริมอาหาร ซึ่งคามินเนียเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เทียบกับกาแฟ 40 บาทเท่านั้น โดยเขากล่าวว่า โควิด-19 สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคในเรื่องสุขภาพอย่างมากครับ เรื่องนี้ถือว่าเป็นเทรนด์ที่ใหญ่และรุนแรงมาก มีผลกระทบในวงกว้าง ทำให้คนที่ยังไม่ได้ป่วยก็หันมาดูแลสุขภาพกัน เพื่อป้องกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 40 ขึ้น ที่อาจะมีความกังวลมากกว่า  ทั้งนี้ งบประมาณที่ใช้เพื่อการดูแลรักษาสุขภาพให้ดีนั้น  ย่อมจะคุ้มค่ากว่าการใช้งบประมาณเพื่อการรักษาเมื่อเจ็บป่วยจากโรคในกลุ่ม NCDs

“แน่นอนว่าภาวะเศรษฐกิจครั้งนี้กระทบกับคนแทบทุกกลุ่ม กลุ่มนี้ที่สำคัญคือยังมีกำลังซื้อมากกว่า ยังมีทุนเก็บอยู่มากกว่า ซึ่งโดยรวมตอนนี้การจัดลำดับการใช้จ่ายจึงจะเอามาใช้กับการบำรุงรักษาสุขภาพเป็นเรื่องต้นๆ และ สินค้าสำคัญในกลุ่มนี้คือ เสริมอาหารครับ ในส่วนของต้นทุนสำหรับการใช้ไปเพื่อเสริมอาหาร คามินเนีย ของเรา ต่อวัน ก็ประมาณใกล้เคียงกับค่ากาแฟเพียงหนึ่งถ้วยเท่านั้น40 บาท”

กรรมการบริษัท โอเรียนท์ อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวในช่วงท้ายว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของเราในชื่อ คามินเนีย มุ่งกลุ่มเป้าหมายผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน และ ผู้ที่รักสุขภาพจากการศึกษาสถิติของผู้เป็นเบาหวานทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศเราพบว่าในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา  มีผู้ป่วยเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นทุกปีในประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานประมาณ 8% ของประชากรไทยจำนวน 66 ล้านคน คิดเป็นผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยในปัจจุบันประมาณ 5 ล้านคนเป้าหมายด้านการขายของเราที่กำหนดไว้เดือนละ 25,000 กระปุก คิดเป็นเพียง 0.5% ของกลุ่มเป้าหมาย หากพิจารณาจากผู้บริโภคที่เคยได้รับประทานผลิตภัณฑ์คามินเนียสักระยะหนึ่ง ประมาณ 1-3 เดือน พบว่าผู้บริโภคจะมีการซื้อซ้ำและยังมีการแนะนำต่อไปยังผู้ใกล้ชิดที่มีปัญหาด้านสุขภาพด้วย  เราจึงมีความเชื่อมั่นด้านการขยายตัวด้านการตลาดของผลิตภัณฑ์คามินเนียยังจะมีแนวโน้มที่ดีต่อไปเรื่อยๆ

“เรามีแผนที่จะขยายตลาดในต่างประเทศเช่นกัน  โดยได้ส่งผลิตภัณฑ์คามินเนียไปยังพันธมิตรในต่างประเทศเพื่อส่งให้กลุ่มเป้าหมายผู้เป็นเบาหวานได้ทดลองบริโภค  ผลตอบรับกลับมาเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับในประเทศไทย   ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการจดทะเบียนเครื่องหมายทางการค้า และ การขอ อย.ในประเทศที่เราจะขยายตลาดต่อไป” คุณวิชัย กล่าว

 

Facebook Comments


Social sharing

Related post