Digiqole ad

รู้จักความเจ็บป่วยที่มาพร้อม Next Normal และเกราะป้องกันทรงประสิทธิภาพ จาก “วิตามิน”

 รู้จักความเจ็บป่วยที่มาพร้อม Next Normal และเกราะป้องกันทรงประสิทธิภาพ จาก “วิตามิน”
Social sharing
Digiqole ad

ยังไม่ทันจะปรับตัวเข้ากับ New Normal ได้ครบปีดี โลกใบนี้ก็กำลังหมุนสู่ยุคใหม่ที่ชื่อ Next Normal เสียแล้ว นั่นก็เพราะหลายๆ ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) ต่างมีความเห็นที่คล้ายกันว่าการอยู่ร่วมกับโควิด นั้นทำง่ายกว่าการกำจัดโควิดให้สิ้นซาก

เลยเป็นที่รู้กันว่าประเทศไทยได้เดินหน้าเปิดประเทศแบบแทบจะเต็มตัว สวนทางกับยอดผู้ติดเชื้อที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และยังอ้าแขนรับความ Next Normal ให้เราได้อัพเดทวิถีชีวิตกันอย่างเร่งด่วน แน่นอนว่ารวมถึงหัวข้อสุขภาพที่จะกลายเป็นพฤติกรรมใหม่หลังพ้นวิกฤติโควิด อย่าง “Proactive Healthcare” การดูแลสุขภาพเชิงรุกหรือการดูแลที่เน้นป้องกันความเจ็บป่วยมากกว่ารักษา โดยเฉพาะกลุ่มอาการหลงเหลือจากไวรัส ที่อาจเป็นโรค Next Normal ของคนยุคถัดไป

 

ความเจ็บป่วยที่มาพร้อม Next Normal

จริงอยู่ที่ในตอนนี้เรามีวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันมากพอจะอยู่ร่วมกับโควิด แต่สิ่งที่โรคระบาดนี้ทิ้งไว้กลับเต็มไปด้วยอันตรายที่สามารถสร้างการสูญเสียได้มากกว่าตัวโรคโควิดเองด้วยซ้ำ มีงานวิจัยแสดงให้เห็นจากการทำ MRI ในผู้ป่วย 100 คน พบว่า 78 คน มีความผิดปกติเกิดกับหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหัวใจ และขณะที่ภูมิคุ้มกำลังต่อสู้กับเชื้อ ยังสร้างปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Cytokine Storm ที่จะทิ้งความเสียหายไว้ให้ปอดอย่างนับไม่ถ้วน ทั้งทำลายถุงลมในปอด ทำให้ปอดแฟบ ปอดอักเสบ และเป็นสาเหตุให้เกิดอาการหายใจลำบากหลังหายป่วย

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังให้ข้อสันนิษฐานว่า ไวรัสอาจเข้าไปทำลายเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินหรือฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เผาผลาญน้ำตาล ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเป็นเบาหวานได้ง่ายขึ้น ตรงกับงานวิจัยสำรวจผู้หายป่วยจากไวรัส 47,000 ราย ที่ไม่เคยมีประวัติหรือความเสี่ยงเรื่องโรคเบาหวาน แต่เมื่อหายป่วยแล้วกลับมีโอกาสเป็นเบาหวานมากกว่าคนทั่วไปถึง 1.5 เท่า

นั่นหมายถึงแม้ร่างกายจะสามารถรอดจากไวรัสโควิดมาได้ แต่ก็ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากโรคอื่น ทั้ง โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคเบาหวาน อีกอยู่ดี

 

เด็ก ช่วงวัยเสี่ยงในยุค Next Normal

เมื่อตัดสินใจอยู่ร่วมกับโควิด แปลว่ากิจกรรมหรือวิถีชีวิตที่หยุดไปก่อนหน้านี้ กำลังกลับมาเดินอีกครั้งเหมือนกับการเปิดประเทศ เช่นเดียวกับสถานการณ์สุดสุ่มเสี่ยงอย่างการเปิดเรียน ที่เด็กเล็กใหญ่มารวมตัวกัน ปะปนไปด้วยเด็กที่ยังรับวัคซีนไม่ครบ ยังไม่ได้รับวัคซีน เด็กที่อายุน้อยเกินกว่าจะได้รับวัคซีน หรือรวมถึงการเรียนออนไลน์ ที่เด็กจะเกิดความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมและผู้ใหญ่รอบตัว ที่อาจเป็นพาหะโดยไม่รู้ตัวและทำให้เด็กที่ติดเชื้อในยุคนี้ อาจป่วยเป็นโรคหรืออาการต่อเนื่องในวันหน้าได้ง่ายๆ ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ …ซ้ำร้ายคือไวรัสโควิดยังถูกพบว่าเป็นอันตรายต่อสมอง ทั้งอาการขณะป่วยอย่างการเข้าทำลายเซลล์สมองทางตรง หรือพยายามให้สมองได้รับออกซิเจนปริมาณน้อยลง เพื่อลดการสั่งการภูมิต้านทานให้สู้กับโรคไม่ได้ ที่แย่กว่านั้น คือผู้หายป่วยราว 1 ใน 3 ยังต้องเผชิญกับอาการต่อเนื่องที่เรียกว่า Brain Fog หรืออาการคล้ายกับมีม่านหมอกมาบดบังสมอง ส่งผลให้สมองทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งสมาธิสั้น รวมถึงมีไอคิวลดลง ซึ่งเป็นผลเสียใหญ่หลวงต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว

ป้องกันความเจ็บป่วยด้วย วิตามิน

แต่ไหนแต่ไรวิตามินก็เปรียบเสมือนเกราะป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคมาโดยตลอด วิตามินบางตัวเช่นวิตามินดี ถูกนำมาใช้ในการป้องกันและรักษาโรคทางเดินหายใจหลายโรค ไหนจะข้อดีของวิตามิน ที่เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการอยู่แล้ว ไม่ต้องรอป่วย ทานป้องกันได้ และทานได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดเพื่อการดูแลสุขภาพเชิงรุก ก็คงหนีไม่พ้นการเสริมวิตามินกับร่างกาย (โดยเฉพาะในตอนที่ยุค Next Normal ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว)

วิตามินดี 3 (Vitamin D3) เป็นชนิดวิตามินที่สามารถเพิ่มปริมาณวิตามินดีในเลือดได้จริง ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ลดการติดเชื้อ และลดการย้อนกลับมาของโรค ซึ่งมีงานวิจัยว่าผู้ที่มีวิตามินดีในเลือดน้อยเกินไป มีโอกาสติดเชื้อโควิดและเข้าโรงพยาบาลมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า โดยตามสถิติแล้วคนไทยกว่าครึ่งมีวิตามินดีในเลือดน้อยกว่าเกณฑ์ วิตามินดี 3 จึงเป็นตัวเลือกแรกที่ขาดไม่ได้ในการป้องกันตัวเองจากโควิด

– วิตามินบี 6 (Vitamin B6) เป็นวิตามินที่ช่วยหยุดยั้ง Cytokine Storm ให้สงบลง หรือก็คือช่วยให้สนามรบระหว่างภูมิคุ้มกันและเชื้อโรคอย่าง ปอด ไม่เสียหายมากเกินไปนั่นเอง และยังมีส่วนช่วยป้องกันการย้อนกลับมาของ Cytokine Storm อีกด้วย

– วิตามินบี 12 (Vitamin B12) เป็นวิตามินที่ร่างกายจะขาดเมื่อติดเชื้อไวรัส หรือก็คือหากติดเชื้อโควิดเมื่อไหร่ จะส่งผลให้วิตามินบี 12 ในร่างกายลดลง ซึ่งจะทำให้แบคทีเรียชนิดดีในร่างกายที่กินวิตามินบี 12 เป็นอาหารตายตามไปด้วย เช่น แบคทีเรียในลำไส้ที่ช่วยสร้างความสมดุลให้ระบบทางเดินอาหาร เมื่อตายลงก็จะทำให้ระบบทางเดินอาหารไม่สมดุล เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสียตามมา จึงจำเป็นต้องเสริมวิตามินบี 12 ให้ร่างกาย เพื่อป้องกันความเจ็บป่วยหากติดเชื้อ

“HELLO-D & HELLO-B” ไอเทมติดบ้านยุค Next Normal

นอกจากการทานอาหารที่มีประโยชน์หรือการรับแสงแดดยามเช้าเพื่อเสริมวิตามินแล้ว (ไม่แนะนำให้รับแสงแดดมากไป เพราะเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง) อีกทางเลือกหนึ่งของคนยุคใหม่คือการทาน วิตามินแบบเม็ด ที่จดทะเบียนเป็นยาและใช้จ่ายจริงในโรงพยาบาล อย่าง HELLO-D และ HELLO-B โดยบริษัทยา จรูญเภสัช

HELLO-D ช่วยเพิ่มวิตามินดี 3 ในเลือด สามารถเลือกรับประทานในปริมาณที่ร่างกายต้องการและใช้หมดต่อวัน และยังช่วยเรื่องการดูดซึมแคลเซียม ทานได้ทุกเพศทุกวัย ให้เด็กทานได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการสะสมหรือเกิดอันตราย เด็กอายุ 1-8 ขวบ รับประทานวันละ 1,000-2,000 IU เด็กอายุ 8 ขวบขึ้นไป รับประทานได้ปริมาณเท่ากับผู้ใหญ่ คือ 1,000-4,000 IU ต่อวัน

HELLO-B หรือวิตามินบีรวม ครบครันทั้งบี 1 / บี 6 / บี 12 ประกอบด้วยวิตามินบี 1 ปริมาณ 100 มิลลิกรัม, วิตามินบี 6 ปริมาณ 200 มิลลิกรัม รวมถึงมีวิตามินบี 12 ปริมาณ 200 ไมโครกรัม มากกว่าวิตามินท้องตลาด 2 เท่า ช่วยป้องกันความเจ็บป่วยในยุค Next Normal ได้เต็มประสิทธิภาพกว่า

Next Normal เป็นคำบอกใบ้ให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพให้มากกว่าที่เคยทำ ซึ่งการเสริมวิตามินอาจไม่ได้ช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิดโดยตรง แต่เป็นการสร้างเกราะเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายเสียมากกว่า คิดง่ายๆ คือวิตามินช่วยให้เรามีอาวุธครบมือ นั่นย่อมดีกว่าต้องไปสู้กับไวรัสด้วยมือเปล่าอยู่แล้ว …จริงมั้ย

ผู้ที่สนใจวิตามินดี 3 “HELLO-D” และวิตามินบีรวม “HELLO-B” สามารถติดต่อได้ที่ จรูญเภสัช Line: @charoon (มี @) / FB: www.facebook.com/charoon.bhesaj / โทร. 02-477-3000

Facebook Comments

Related post