
รอดูฝีมือกู้เศรษฐกิจ


สุดท้าย ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ก็มีมติอนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท
โดยในการลงมติ มีผู้ลงมติ 469 ราย เห็นด้วย 270 ราย ไม่เห็นด้วย 196 ราย งดออกเสียง 1 ราย ไม่ลงคะแนนเสียง 2 ราย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ตราบใดที่ผลประโยชน์ทางการเมืองยังลงตัว คำครหาเรื่องเผด็จการรัฐสภา คำครหาเรื่องการตระบัดสัตย์ ย่อมใช้ไม่ได้ในยุครัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย”
รัฐบาลรู้ ฝ่ายค้านเองก็รู้ดีว่าผลการโหวตจะต้องออกมาแบบนี้
ยิ่งพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่เล่นไพ่สองหน้า หน้าหนึ่งสร้างภาพให้ประชาชนเห็น แต่อีกหน้าหนึ่งก็ยังเหนียวแน่นกับการเป็นนั่งร้านให้รัฐบาล ก็รู้ดีเช่นกันว่าผลการลงมติจะต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน
แถมมีข้ออ้างชั้นดี ว่าสุดท้ายแล้วจำเป็นต้องโหวตตามมติพรรค
สิ่งที่ต้องดูจากนี้ไป ก็คือ เงินกู้ 5 แสนล้านบาทครั้งนี้ จะใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ฟื้นได้จริงหรือไม่
ในเมื่อยังคงมีแต่มาตรการเดิมๆ ที่ขนาดว่ามีเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ก็ใช้ไปแทบหมดเกลี้ยงแล้ว แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้น ซึ่งหากมาตรการทั้งหลายสามารถที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้จริงๆ ความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินเพิ่มอีก 5 แสนบาทจะต้องเกิดขึ้นอีกหรือ
การกล่าวอ้างว่าการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทในครั้งนี้ทำถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเพดานการก่อหนี้สาธารณะ ที่กำหนดไว้เป็นสัดส่วนกับตัวเลขจีดีพีของประเทศ ในขณะที่ตัวเลขจีดีพีนั้นอยู่ในกำมือของรัฐบาล ซึ่งช่วยให้กู้อย่างไรก็ไม่มีทางเกินเพดานกฎหมายกำหนด
ภายใต้อำนาจของรัฐบาลประยุทธ์ กู้อย่างไรก็ไม่ผิดกฎหมายแน่นอน
แต่การกู้เงินได้แบบไม่มีข้อจำกัด กู้มา 1 ล้านล้านบาทแล้วไม่พอ ขอกู้เพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมีการขอกู้รอบที่ 3 ตามมาอีกหรือไม่นั้น ต้องรอดูกันไป
การเก่งกู้เงินไม่ได้แปลว่ารัฐบาลนี้เก่งและมีฝีมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
เพราะการแจกเงินผ่านมาตรการต่างๆที่ทำมา เป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพ แต่ไม่ได้เป็นการเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน
คนละครึ่งเฟส 3 ที่คุยนักคุยหนาว่าจะได้ผลนั้น จะได้ผลอย่างไรในเมื่อรัฐบาลไม่เคยคุมราคาอาหาร ราคาน้ำมัน ราคาขนส่งและการเดินทาง
คนที่มีรายได้สูงอย่างนายกฯ อย่างรัฐมนตรี อย่าง สว. อย่างนักการเมืองขั้วรัฐบาล ย่อมไม่สนใจหรอกว่า เงินแจกที่มีมูลค่าไม่ทันกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้านั้น
คนจน ก็ยังคงเดือดร้อนต่อไป
ภูวนารถ ณ สงขลา