![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
รถ EV จีน กับผลกระทบไทยในหลายมิติ
![รถ EV จีน กับผลกระทบไทยในหลายมิติ](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2023/12/ปลายซอย17-1.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
จะเป็นเพราะคนไทยชอบลองของใหม่ หรือเป็นเพราะสงครามทั้งในยุโรปและตะวันออกกลางทำให้ผู้ใช้รถยนต์ที่ต้องเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงกลัวว่าจะกระเป๋าฉีกยิ่งขึ้น จึงให้การตอบรับ “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” หรือEVอย่างมากเกินความคาดหมายในช่วงท้ายปีนี้ โดยเฉพาะค่ายEVจีนที่สร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคชาวไทยว่า “ขายแล้วไม่เท” เพราะถึงวันนี้ประกาศปักเสาตั้งโรงงานในไทยแล้วอย่างน้อย 6 ค่ายดัง ทั้ง MG, GWM, BYD, NETA, GAC AION, CHANGAN ส่วนปีsohkยังมีข่าวว่าอาจจะเข้ามาอีก 2-3 ค่าย เพราะรัฐบาลไทยยังมีมาตรการ EV 3.5 สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 อีก 4ปี( พ.ศ.2567-2570) โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567
เพื่อให้ได้เห็นภาพอนาคตจากการยกทัพลงทุนในไทยของค่ายรถ EV จีน ว่าจะส่งกระทบทั้งบวกและลบต่อไทยอย่างไร จึงได้สรุปบทสนทนาของ ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ที่ออกอากาศในรายการ “จับคู่ธุรกิจ” สถานีวิทยุ FM 96.0 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ดังนี้
รัฐบาลจีนได้วางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกมานานแล้ว ถ้าเป็นระบบสันดาปภายในไม่มีทางที่จีนจะพัฒนาเทคโนโลยีและความสามารถในการแข่งขันไปสู้กับแบรนด์ตะวันตก หรือญี่ปุ่นกับเกาหลีได้ แต่เมื่อโลกมีความตื่นตัวด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แก้ปัญหามลพิษ สอดคล้องกับจังหวะที่จีนมีเทคโนโลยีในมือ มีวัตถุดิบอย่างแร่หายากสำหรับผลิตแบตเตอรี่ มีผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เก่งในด้านนี้ จีนจึงเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศน์เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมEVของจีนมาประมาณ 15 ปี และใช้เวลาไม่ถึง 15 ปีในการแซงหน้ายักษ์ใหญ่เดิมในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างเห็นได้ชัด ต้องยอมรับว่าจีนแทงหวยถูก
รถยนต์พลังงานทางเลือกเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของจีนภายใต้ Made in China 2025 ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2015 โดยรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนเป็นรูปแบบที่จีนเลือกสำหรับรถยนต์พลังงานทางเลือก เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ประสบความสำเร็จมากจึงทำให้เราได้รู้จักและยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนเพิ่มมากขึ้น และไม่แต่เฉพาะในประเทศไทย เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เพราะหลังจากประสบความสำเร็จในการทำตลาดในประเทศ ผู้ประกอบการจีนเริ่มก้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศ เหมือนกับเป็นจังหวะที่สองของการพัฒนาของเขาแม้ว่าตลาดในประเทศจะเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม แต่จีนมองว่ายังเล็กกว่าตลาดโลก รัฐบาลจีนจึงสนับสนุนให้ผู้ประกอยการก้าวสู่เวทีโลก
การที่จีนสามารถครองแชมป์ผู้ส่งออกรถEV สู่ตลาดโลกได้อย่างรวดเร็วนั้น เพราะจีนเวลาจะทำอะไรเขาจะมาทั้งองคาพยพ บทบาทภาครัฐ บทบาทภาคเอกชน และบทบาทภาคประชาชนหรือภาคของผู้บริโภค เมื่อสามส่วนนี้ไปในทิศทางเดียวกันอุตสาหกรรมรถยนต์ได้รับการพัฒนา ผู้ประกอบการแข็งแกร่ง ยิ่งได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ จึงก้าวสู่เวทีโลกด้วยความพร้อมมากยิ่งขึ้น
รถไฟฟ้าในจีนยุคก่อนโควิดมี 400-500 แบรนด์ ถึงวันนี้ล้มหายตายจากไปเหลือประมาณ 50% แต่ถ้าเทียบกับค่ายรถไฟฟ้าในสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี รวมกันยังไม่ถึง 100 แบรนด์ สะท้อนให้เห็นว่าจีนใช้เวลาเพียง 15 ปีในการพัฒนาขึ้นมาเทียบชั้นยานยนต์พลังงานทางเลือกของโลก เหมือนแค่กระพริบตาจีนก็โผล่มาหายใจรดต้นคอแล้ว หรือแซงหน้าทิ้งห่างไปแล้ว
ความสำเร็จและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของรถไฟฟ้าจีนเพราะภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนและผลักดันอย่างจริงจัง เช่นระดับมณฑลลงทุนผลิตแข่งกับภาคเอกชน หรือรัฐบาลกลางมีนโยบายให้หน่วยงานรัฐใช้รถไฟฟ้า มีการสนับสนุนผู้บริโภคในการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งประเทศไทยเรายังไม่เคยกำหนดนโยบายเชิงรุกแบบนี้ในระยะยาว
ตามหัวเมืองใหญ่ของจีนในปัจจุบัน เช่น เซี่ยงไฮ้ กวางโจว หางโจว เซินเจิ้นนั้น สัดส่วนของรถไฟฟ้ากับรถสันดาปภายในเพิ่มขึ้นเกือบ 50%แล้ว ในขณะที่เป้าหมายของประเทศจีนคือ 30% ในปี 2025 สะท้อนถึงบทบาทภาครัฐที่รู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ
สมัยแรกๆที่จีนผลิตรถยนต์สันดาปภายใน เกิดปัญหาว่า“รถสีดำ”ขายไม่ออกมีค้างอยู่ในสต๊อกมากเพราะคนจีนเชื่อว่ารถสีดำเหมาะจะเป็น “รถขนศพ”เท่านั้น ภาครัฐเข้ามาช่วยแก้ปัญหาโดยประกาศว่าเมื่อถึงเวลาต้องปลดระวางรถเก่าให้เอารถยนต์สีดำมาเป็นรถราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งเกิดปรากฏการณ์ว่ามีภาคเอกชนวิ่งเต้นไปขอลัดคิวซื้อรถสีดำมาใช้บ้าง เพราะรถสีดำกลายเป็นเครื่องหมายของผู้มีอำนาจในสังคม
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในยุคปัจจุบัน รัฐบาลจีนมีวิธีการจูงใจให้มาใช้ โดยตามหัวเมืองใหญ่ๆนั้นค่าป้ายทะเบียนแพงมาก เช่นที่เซี่ยงไฮ้ค่าป้ายทะเบียนประมาณ 8 หมื่นหยวน(ประมาณ 4 แสนบาท) แต่ละเดือนจะออกป้ายให้ประมาณ 100 คัน คนมีเงินก็ต้องรอคิว แต่ถ้าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจะได้ป้ายทะเบียนฟรีโดยไม่ต้องเสียเงิน ช่วงแรกซื้อประกันภัยได้ส่วนลด 50% เป็นมาตรการที่ได้ผลอย่างยิ่ง
การที่ไทยจะพัฒนาเป็นHub EV ของภูมิภาคอาเซียนนั้นมีความเป็นไปได้สูง เพราะวันนี้แบรนด์จีน 5-6 ค่ายมาลงทุนแน่ แต่ละรายไม่ใช่แค่เข้ามาทำตลาด แต่ทุกรายมีเป้าหมายการลงทุนเปิดโรงงานสายการผลิต บางรายจะผลิตแบตเตอรี่ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งดีที่ทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตและมีความสามารถทางการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศ
ไทยนั้นโดยพื้นฐานเดิมมีปัจจัยเชิงบวกเรื่องแรงงานฝีมือคุณภาพที่ได้มาจากอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปเดิม การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจึงไม่ใช่เรื่องยากเนื่องจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ลดลงไปมาก ความสลับซับซ้อนก็น้อยกว่า
เชื่อว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยน่าจะเป็น 1 ในความสำเร็จของไทยในการพัฒนาฐานอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก มีการจ้างงาน เกิดSupply Chain ขยายในวงกว้าง พูดถึงระบบนิเวศน์ส่วนอื่น เช่นสถาบันการศึกษาที่ต่อไปจะมีหลักสูตรเฉพาะเพื่อพัฒนาบุคลากรป้อนต่ออุตสาหกรรม
ทำอย่างไรประเทศไทยจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนEVจีน โดยเฉพาะการถ่ายทอดทางด้านเทคโนโลยีและต่อยอดเทคโนโลยีต่างๆเหล่านั้นให้เป็นของไทยเองได้อย่างแท้จริง ที่ผ่านมาคนไทยได้แต่ใช้สินค้าที่เป็นแบรนด์ต่างประเทศ มีอะไรที่เป็นแบรนด์ท้องถิ่นสักพักหนึ่งก็ล้มหายตายจากไป หรือทำได้ก็อยู่ในตลาดระดับล่าง ไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่เวทีระหว่างประเทศไทย
อุตสาหกรรมEVนี้คนไทยสามารถเรียนรู้ เรียนลัดได้หากรัฐบาลไทยจะเอาจริงเอาจังในการพัฒนา