Digiqole ad

พุทโธ่! โชว์ปาฏิหาริย์ 4 ยอดกุมาร “ผู้วิเศษ”

 พุทโธ่! โชว์ปาฏิหาริย์  4 ยอดกุมาร “ผู้วิเศษ”
Social sharing

Digiqole ad

อีบุ๊กบางกอกทูเดย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๔๓๔ ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม – ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗

หน้า 2-3 สกู๊ปปก

พุทโธ่! โชว์ปาฏิหาริย์

4 ยอดกุมาร “ผู้วิเศษ”

แม้จะเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่ก้าวหน้าล้ำไปไกลโข แต่หลาย ๆ เรื่องก็ไม่ได้ก้าวตามยุคสมัยไปด้วย โดยเฉพาะด้านจิตใจของมนุษย์โลก จึงเกิดเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในเชิงลบหรือด้าน DARK ขึ้นมาในสังคมมากมาย อย่างในสังคมไทยขณะนี้ ว่ากันว่าเป็นยุคของ “ผู้วิเศษ” แสดงปาฎิหาริย์ต่าง ๆ นานา เพื่อเรียกแขก ซึ่งได้เกิดคนกลุ่มน้อยที่เลื่อมใสศรัทธาพร้อมคอยซัพพอร์ต ซึ่งเข้ามาถูกจังหวะที่คนต้องการที่พึ่งและเครื่องยึดเหนี่ยมทางจิตใจ มาดูกันว่า “ผู้วิเศษ” สุดฮอตที่บางคนกลายเป็นข้อถกเถียงในระดับวาระแห่งชาติ เรื่องถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และนายกรัฐมนตรี โดยอีบุ๊กบางกอกทูเดย์ขอเก็บรวบรวมเอาข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ มาว่ากันไปตามท้องเรื่อง

น้องไนซ์ นิรมิตเทวาจุติ เชื่อมจิต

             “อาจารย์น้องไนซ์”  ด.ช.นิรมิต วัย 8 ขวบ ผู้ที่อ้างตนเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราช มีความสามารถในการ “เชื่อมจิต” และ “หยั่งรู้” เรื่องราวต่างๆ ทั้งอดีตและอนาคต รวมถึงเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ที่บอกเล่าจากปากพ่อแม่ ทำให้เขามีผู้ติดตามทั้งผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและที่เดินทางไปร่วมฟังเขาถ่ายทอดคำสอนตามจังหวัดต่างๆ เป็นจำนวนมาก

            เรื่องราวของ “น้องไนซ์” เริ่มเป็นที่พูดถึงเป็นวงกว้าง จากคลิปวิดีโอ “กิจกรรมเชื่อมจิต” อันแสนแปลก ที่มีผู้ใหญ่จำนวนมาก ก้มกราบเด็กวัยแค่ 8 ขวบ และเหตุการณ์ที่ “น้องไนซ์” ยกแก้วน้ำราดลงบนศรีษะของหนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรม จนกลายเป็นไวรัล ซึ่งภายหลัง แม่ของน้องไนซ์ออกมาชี้แจงคลิปดังกล่าวว่า เกิดจากการ “เชื่อมจิต” ของน้องไนซ์กับผู้เข้าร่วมรายดังกล่าว ที่รู้สึกไม่สบายใจและนึกอยากให้น้องรดน้ำให้ แต่น้องไนซ์กลับรับรู้จิตของบุคคลนั้นได้โดยที่เขาไม่ต้องบอกกล่าว จึงเอาน้ำราดลงบนหัวของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าตัวรู้สึกยินดีมาก ทำให้ผู้เข้าร่วมรายอื่นๆ จึงสนใจอยากให้น้องรดน้ำให้ด้วยเช่นกัน

เรื่องราวความมหัศจรรย์ของ “น้องไนซ์” ถูกถ่ายทอดจากแม่ถึงชาติกำเนิดว่า ก่อนท้องแม่ฝันเห็นแสงสีขาวพุ่งลงมากลางห้อง จากนั้นถึงวันอาสาฬหบูชา แม่เจ็บท้องคลอด ทั้งที่อายุครรภ์เพียง 6 เดือนเท่านั้น จนวันเข้าห้องคลอด แม่ก็เห็นคนนุ่งขาวห่มขาวมาตามดูไม่ห่าง กระทั่งน้องไนซ์อายุ 3 ขวบ เริ่มสอนพ่อแม่ให้ทำสมาธิ ทำจิตปล่อยวาง ก่อนบอกพ่อกับแม่ว่า ตัวเองคือ “องค์เพชรภัทรนาคานาคราช” อวตารลงมาเกิด โดยได้รับภารกิจจาก “พระศากยมุนี” พระพุทธเจ้า เพื่อให้ช่วยฟื้นฟูศาสนาบนโลกมนุษย์

 

            ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวจึงตั้ง “กลุ่มนิรมิตเทวาจุติ” เผยแผ่ธรรมะบนโลกออนไลน์ ทั้งลงคลิป ไลฟ์ ในการพูดคุยธรรมะ ผ่านทั้งช่องทาง TikTok ยูทูบ เฟซบุ๊ก และกลุ่มไลน์โอเพนแชต จนเกิดเป็น “อาจารย์น้องไนซ์” มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก โดยทุกครั้งที่สอนนั่งสมาธิ อาจารย์น้องไนซ์ จะ เชื่อมจิต” ส่งไปยังแฟนคลับ

ถึงแม้ว่าจะมีผู้ศรัทธาในตัว อาจารย์น้องไนซ์” เป็นจำนวนมาก แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่เห็นต่าง โดยเฉพาะที่ น้องไนซ์” ให้สัมภาษณ์ว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมมะมีการเชื่อมจิต เป็นการสอนในสมาธิ เพราะยุคนั้นไม่มีไมโครโฟน คนมาฟังเป็นร้อยเป็นพัน ถ้าไม่สอนในจิต จะได้ยินได้ยังไง คิดกันบ้างสิ

 

            จากกรณีที่เกิดขึ้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคำสอนของน้องไนซ์ เทวานิรมิตจุติ เด็กชายวัย 8 ขวบ ที่อ้างว่าเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราช และสามารถเชื่อมจิตได้ หากพบว่า สิ่งที่น้องไนซ์พูดมีการบิดเบือนหรือไม่ถูกต้องกับหลักคำสอน ก็จะขอให้พระวิปัสสนาจารย์ มาอธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน เนื่องจาก พศ.ไม่มีอำนาจที่จะดำเนินการได้ ปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องความเชื่อและความศรัทธา

ขณะนี้เกิดความขัดแย้ง มีการแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝ่าย คือ กลุ่มสนับสนุน และกลุ่มที่คัดค้าน โดยเบื้องต้น พศ.ได้ติดต่อพระวิปัสสนาจารย์ คือ พระอาจารย์พยอม กัลยาโณ หรือพระราชธรรมนิเทศ วัดสวนแก้ว เพื่อให้ข้อมูลหลักธรรมที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันได้รวบรวมข้อมูลการตัดต่อภาพน้องไนซ์กับรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อดำเนินการเอาผิดต่อไป (ที่มา : springnews)

คลื่นพลังบุญ พระพุทธเจ้าห้าพระองค์

กรณีของบุคคลที่ชื่อ “น้องหญิง อาจารย์ชายและพี่โดม” อ้างตัวเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ รักษาโรคด้วยคลื่นพลังบุญ ซึ่ง สสจ.อุดรธานี ออกหนังสือแจ้งสั่งให้หยุดรักษาคน หลังตรวจสอบพบไม่มีใบอนุญาต ขณะที่เจ้าตัวยังไม่กลับมาที่ แดนธรรมสุขขาววะดี

เมื่อผู้สื่อข่าว Thai PBS ลงพื้นที่ตรวจสอบแดนธรรมสุขขาววะดี บ้านโนนตาแสง ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ได้มีหนังสือด่วนที่สุด สั่งเจ้าของสถานที่ หยุดการรักษาโรคให้แก่ประชาชน ปรากฏว่าไม่พบบุคคลที่ชื่อน้องหญิง หรือ น.ส.โสวรีร์ อาจารย์ชาย และพี่โดม ภายในแดนธรรมสุขาววะดี

ส่วนบริเวณโรงเรือนที่ใช้สำหรับทำกิจกรรมการรักษาผู้ป่วย สภาพสิ่งของยังวางอยู่ที่เดิมไม่ได้ปัดกวาดเช็ดถู ส่วนกุฏิซึ่งเป็นบ้านไม้คาดว่าจะเป็นที่พักก็ถูกปิดประตูล็อกกุญแจเอาไว้ พบเพียงพระ 2 รูป ชาวบ้าน 2 คน กำลังช่วยกันขุดร่องระบายน้ำ อยู่บริเวณหน้า เพื่อไม่ให้น้ำท่วมขัง เนื่องจากฝนตกลงมาอย่างหนักช่วงที่ผ่านมา  

พระรูปหนึ่ง เล่าว่าตั้งแต่น้องหญิง อาจารย์ชาย และพี่โดม ไปออกรายการทีวีที่กรุงเทพฯ ก็ยังไม่ได้เดินทางกลับมาเลย แต่ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ถ้าหมดรายการทีวีแล้วก็จะเดินทางกลับมา ส่วนเรื่องสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี มีหนังสือแจ้งให้หยุดการรักษา ยังไม่เห็นหนังสือ แต่ก็ได้ใช้สก๊อตเทปปิดคำว่า “รักษา” เอาไว้แล้ว ถ้าหากน้องหญิงไม่กลับมาที่นี่อีก เจ้าของที่ดินก็จะไปทำเรื่องขออนุญาตให้แดนธรรมสุขาววะดีเป็นสำนักสงฆ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ก่อนหน้านี้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ออกหนังสือด่วนที่สุด ถึงเจ้าของสถานที่แดนธรรมสุขาววะดี ระบุกรณีน้องหญิง อาจารย์ชาย และพี่โดม อ้างตัวเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ รักษาโรคด้วยคลื่นพลังบุญให้ประชาชน ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า สถานที่และผู้ที่ทำการรักษายังไม่มีการขึ้นทะเบียนเกี่ยวกับการรักษาโรคใด ๆ มีการประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต เข้าข่ายกระทำผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีการประกอบโรคศิลปะโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอให้หยุดกิจกรรมเกี่ยวกับการรักษาโรคให้แก่ประชาชนทั่วไป

สำหรับน้องหญิงเมื่อวันที่ 18 พ.ค.67 ได้ถูกตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดอุดรธานี ได้นำหมายศาลเข้าจับกุม และส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สน.โคกคราม ในข้อหาร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวง นำเข้าข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า ก่อนจะประกันตัวออกมา

 ‘อ.แมน นะดากทอง’ สนองความใคร่จริงหรือ!?!

จากกรณีโลกออนไลน์มีการแชร์ภาพและคลิป พิธีกรรมสุดประหลาดลงนะหน้าทอง ในจุดลับคือที่ก้นและอวัยวะเพศ โดยผู้ที่เข้าพิธีเปลือยท่อนล่าง หันก้นให้ จากนั้นผู้ทำพิธีเริ่มท่องคาถา และแปะทองคำเปลวหลายจุด ทั้งก้นกบ ทั้งแก้มก้น พร้อมกับสวดคาถา เอามือลูบวนๆ ก่อนจะใช้ปากเป่าเข้าไปที่ก้น 3 ครั้งจากนั้น จังหวะไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อาจารย์ ผู้ทำพิธี ใช้ลิ้นเลียที่ก้น ของผู้มาทำพิธี ซึ่งผู้มาทำพิธีเองก็ยังมีจังหวะสะดุ้งคงเพราะด้วยความตกใจ

โดยอาจารย์ผู้นั้นคือ “อ.แมน  อภิวรสิทธิ์” ใช้ห้องพักที่คอนโดแห่งหนึ่งย่านเพชรเกษม เปิดเป็นสำนัก ซึ่งภายในห้องค่อนข้างแคบเพราะเต็มไปด้วยเครื่องรางวัตถุมงคลมีพ่อปู่ฤาษี 5-6 ตน รวมถึงพระพุทธรูป และองค์เทพต่างๆด้วย ซึ่งอาจารย์แมน ยืนยันว่า ตนเป็นผู้มีวิชาอาคมและศึกษา เรียนรู้ด้านไสยศาสตร์มาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ผ่านหลายตำรา ซึ่งพิธีกรรมการลงนะ ของตนเองนั้นก็เหมือนกับการลงนะหน้าทองทั่วไปที่สามารถลงนะได้ทั้งตัว ถ้าลงที่หน้าก็จะเรียกว่านะหน้าทอง ลงที่มือก็เรียกว่านะมือทอง ลงที่อวัยวะเพศก็เรียกว่านะเจ้าโลกทอง ลงที่ก้นก็เรียก นะดากทอง ในการลงนะในที่ลับของตนนั้นเริ่มมาจากทางลูกศิษย์ที่เข้ามาทำพิธีเป็นคนเรียกร้องให้ทำ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้มีคนรัก มีคนหลงช่วยในเรื่องของกามารมณ์ และจะนำมาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง เป็นความเชื่อของกลุ่มลูกศิษย์ที่มาเรียกร้องให้ตนเองลงนะในที่ลับให้

อาจารย์แมนบอกว่า แต่ละครั้งที่ทำพิธีตนไม่ได้มีอารมณ์ไปในทางชู้สาวหรือไม่ได้ทำเพื่อสนองความใคร่ของตนเอง เพราะการลงนะแต่ละครั้ง จะต้องตรวจบริกรรมคาถาเป็นเวลานาน สมองไม่ทันได้เอาไปคิดเรื่องลามก มีแต่คิดว่าจะตั้งใจทำให้เสร็จและมือซ้ายก็ต้องเขียนอักขระเลขยันต์ส่วนมือขวาก็ปิดทอง พอสวดเสร็จก็ต้องใช้ลิ้น เลีย 9 ครั้ง ซึ่งเหตุผลที่ต้องใช้ลิ้นก็เป็นเพราะทางลูกศิษย์ร้องขอ ยืนยันไม่ได้ทำ เพราะมีความต้องการทางเพศ หรือพิศวาส สนองความใคร่ตนเอง หากต้องการเรื่องเซ็กไปหาคนอื่นน่าจะง่ายกว่า (ที่มา : ข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ช่อง 3HD)

งานนี้ก็เข้าทางตำรวจ เมื่อ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์  คล้ายคลึง ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (สอท.1)  ได้ตรวจสอบกรณีนี้  โดยมองว่า คลิปที่มีการทำพิธี แม้ว่าลูกศิษย์จะเต็มใจให้ถ่าย  แต่ก็ถือว่ามีความผิด เนื่องจากเป็นการถ่ายคลิปในลักษณะลามก อนาจาร แล้วนำมาลงในโซเชียลมีเดีย  ถือว่า เป็นความผิดเช่นกัน ส่วนบุคคลที่อยู่ในคลิป หากได้รับความเสียหาย หรือประสงค์ที่จะดำเนินคดีก็สามารถเข้ามาแจ้งความกับตำรวจ สอท.1 ได้ในทันที พร้อมขอเตือนกลุ่มที่ทำพิธีแบบนี้ แล้วนำมาลงในโซเชียลมีเดียในลักษณะลามก อนาจาร ก็ถือว่ามีความผิด ในข้อหานำภาพลามกอนาจารเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์  มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี  ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นคดีอาญาแผ่นดิน  ไม่จำเป็นต้องมีใครเข้าแจ้งความ ตำรวจสามารถดำเนินคดีได้เลย

            สำนักลัทธิพระบิดารักษาผู้ป่วย

เหตุเป็นข่าวใหญ่เมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว กรณีมีผู้ที่อ้างตัวเป็น “พระบิดา” ตั้งตัวเป็นเจ้าสำนัก ไว้ผมยาว ไม่สวมเสื้อ ไม่อาบน้ำนานหลายเดือน มีชื่อจริงว่า “นายทวี หนันรา” หรือ “โจเซฟ” อายุ 75 ปี เป็นชาวจ.ขอนแก่น เคยบวชพระ และมาตั้งสำนักบริเวณนี้ ตั้งแต่ ปี 2537 หรือ 28 ปีก่อน อาสาดูแลผู้ป่วย หรือเชื่อว่าโดนคุณไสย  สมัยก่อน ใช้น้ำหมักสมุนไพร ไม่ได้ใช้สิ่งสกปรก จนมีผู้หลงเชื่อ และผู้นับถือบางส่วน มาขออาศัยอยู่ด้วย นายทวี จึงสึกพระ มาเป็นเจ้าสำนัก และเริ่มรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ตามความเชื่อ ผู้ที่มารักษากับนายทวี อ้างว่า สิ้นหวังกับการรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีเงินรักษา เป็นคนไร้บ้าน และบางคนหนีคดีมา นายทวี บุกรุกป่าสาธารณะมาเกือบ 30 ปี โดยไม่มีการดำเนินคดีใดๆ นี่อาจจะเป็นจุดอ่อน ให้นายทวี ยังมีพฤติกรรมแบบนี้มายาวนาน

สุดท้ายก็ไม่พ้นเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เมื่อฝ่ายปกครองบุกเข้าตรวจสอบในสำนักลัทธิพระบิดา ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยเฉพาะ 11 ศพปริศนาที่พบในสำนักแห่งนี้ บางศพไม่สามารถชี้ชัดสาเหตุการตายได้ จึงส่งศพไปชันสูตรหาสาเหตุการตายที่แน่ชัด ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเป็นหลักฐานนำไปสู่การดำเนินคดีตามความผิดเกี่ยวกับศพและฌาปนสถาน เพราะแม้มีการแจ้งตาย และระบุว่าจะฌาปนกิจด้วยการเผา แต่ดำเนินการไม่ถูกต้อง และยังต้องตรวจสอบการรักษาโรคที่ไม่ถูกสุขลักษณะ จากการตรวจสอบโดยรอบสำนักพระบิดา พบว่าเปิดให้ประชาชนเข้ามาสร้างที่พักเพื่ออยู่อาศัย ประกอบอาชีพ และรักษาอาการป่วย ก่อนมีการร้องเรียนและนำไปสู่การจับกุมตัวนายทวี หนันรา อายุ 75 ปี ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าสำนักไปดำเนินคดี เบื้องต้นรับสารภาพทั้ง 2 ข้อหา คือบุกรุกป่า และความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ ตำรวจนำตัวไปยื่นขอฝากขังต่อศาลจังหวัดภูเขียวแล้ว ขณะที่กลุ่มลูกศิษย์เตรียมยื่นขอประกันตัว พร้อมอ้างว่าการรักษาโรคเป็นไปตามความเชื่อส่วนบุคคล (ที่มา : Thai PBS)

“จิตแพทย์-นักปรัชญา” แนะแก้ความหลงผิด

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตามที่นำเสนอมานั้น นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์  ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คนที่เชื่อเกิดจากความงมงาย เชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานเชิงประจักษ์ใด ๆ ส่วนคนที่อ้างตัวเป็นผู้นำลัทธิ เป็นความหลงผิด อาจจะป่วย เช่น ไบโพลาร์ หรือไม่ป่วยก็ได้ แต่หวังผลประโยชน์จากความงมงาย สาเหตุที่เชื่อกันทั้งในคนกลุ่มใหญ่ เพราะยิ่งอยู่ด้วยกัน ยิ่งเสริมแรงกัน และถ้าสิ้นหวัง ความทุกข์เรื้อรัง จะยิ่งงมงายมากขึ้น ถ้าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต้องสลายชุมชน แยกผู้นำ ส่วนแก้ปัญหาระยะยาว ต้องแก้ที่การศึกษา

ทางด้าน ผศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร กล่าวว่า นักวิชาการด้าน วิกฤตนี้เกิดจาก 3 ปัจจัย 1. องค์กรด้านพุทธศาสนา ยังให้ความรู้ไม่ดีพอ เพราะทั้งสงฆ์และศาสนิกชน ยังขาดความรู้ เช่น บุคคลที่อ้างว่าเป็นพระ เคยบวชพระ แต่กลับปฏิบัติตรงกันข้าม อวดอุตริ 2. บริการด้านสาธารณสุขไม่ทั่วถึง แม้คนจะเข้าถึงบริการได้ตามสิทธิพื้นฐาน แต่ยังขาดความสะดวกสบาย ส่วนหนึ่งจึงเลือกเข้าหา ลิทธิ-ความเชื่อ ที่จะช่วยให้พวกเขาพ้นทุกข์ พ้นจากความเจ็บป่วย และ 3.สังคมไทย มีลักษณะบูชาบุคคล เชื่อว่า บุคคลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะมีความศักดิ์สิทธิ และช่วยให้ตัวเองพ้นทุกข์ แทนที่จะเชื่อในหลักธรรมคำสอบที่เป็นแก่นสาร

            หลักความเชื่อ 10 ประการ “กาลามสูตร”

หนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของความเชื่อแบบผิด ๆ ให้เกิดความถูกต้องนั่นคือ การใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ชื่อว่า       “กาลาสูตร”  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ ที่อาศัยอยู่ในเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล เนื่องจากในสมัยนั้นมีผู้อวดอ้างตนในคุณวิเศษกันมาก เชิดชูแต่ลัทธิของตัว พูดจากระทบกระเทียบดูหมิ่นลัทธิอื่น พร้อมทั้งชักจูงมิให้เชื่อลัทธิอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเกสปุตตนิคมดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้อวดอ้าง ชาวกาลามะได้ทูลถามด้วยความสงสัยว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ?

พระพุทธองค์จึงทรงแสดง “กาลามสูตร” ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คือ 1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา 2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา 3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ 4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก 6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน 7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว 9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ 10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ ดังนั้น พระสูตรนี้ท่านมิได้ห้ามมิให้เชื่อ แต่ให้เชื่อด้วยมีปัญญาประกอบด้วย มิฉะนั้นความเชื่อต่างๆ จะไม่พ้น “ความงมงาย” และไม่พึงแปลความเลยเถิดไปว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ และให้เชื่อสิ่งอื่นนอกจากนี้ แต่พึงเข้าใจว่า แม้แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่า.. เป็นสิ่งที่น่าเชื่อที่สุด ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อ ไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาด ยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้ดีก่อน (ที่มา : พระไตรปิฎก ฉบับดับทุกข์)

(ภาพ : amarintv,workpointtoday,มติชนสุดสัปดาห์อินเทอร์เน็ต)

อีบุ๊กบางกอกทูเดย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๔๓๔ ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม – ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗

หน้า 2-3 สกู๊ปปก

พุทโธ่! โชว์ปาฏิหาริย์

4 ยอดกุมาร “ผู้วิเศษ”

อีบุ๊กบางกอกทูเดย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๔๓๔
ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม – ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗
(สามารถพลิกอ่านได้เหมือนหนังสือปกติ)

 

Facebook Comments


Social sharing

Related post