![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
“พิธา”กลับเข้าสภา
![“พิธา”กลับเข้าสภา](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/ปลายซอย17-1.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล “หยุดการปฏิบัติหน้าที่”สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 หลังจากรับคำร้องขอการวินิจฉัยจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่อง การหมดสมาชิกสภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากการถือครองหุ้นสื่อไอทีวี
6 เดือนต่อมา บ่ายวันที่ 24 มกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษาว่า มีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 โดยสรุปคำวินิจฉัยแบบสั้นๆว่า ตอนสมัครรับเลือกตั้งนายพิธาถือหุ้นไอทีวีอยู่จริง แต่ข้อเท็จจริงในทางไต่สวนรับฟังได้ว่าบริษัท ไอทีวี ไม่ได้ประกอบกิจการหรือมีรายได้จากกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2550 การที่บริษัทไอทีวียังคงสถานะนิติบุคคลเดิมไว้ก็เพื่อการดำเนินคดีที่ค้างอยู่ในศาลเท่านั้น ทั้งนี้ไม่ปรากฏว่า บริษัทมีรายได้จากการประกอบกิจการเกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน
นายพิธาจึงมิใช่ผู้มีลักษณะต้องห้ามลงสมัคร สมาชิกภาพสส.ของนายพิธาจึงยังคงอยู่เหมือนเดิมสามารถกลับเข้าทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรได้ทันที
ศาลยังบอกด้วยว่าไม่ได้พิจารณาคดีล่าช้านะ ที่ช้าเพราะจำเลยเป็นฝ่ายขอขยายเวลา 2 ครั้งๆละ 30 วัน รวมขยายเวลาทั้งหมด 60 วัน ไม่งั้นก็จบกันไปตั้งแต่ปลายปี 2566 แล้ว
ก่อนหน้าวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำพิพากษา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ฟันธงว่านายพิธา “ไม่รอด” โดยแสดงความคิดเห็นแบบผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายไว้ 4 เหตุผลว่า
1. ไอทีวียังคงเป็นสื่อมวลชน เพราะยังมีสถานะความเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีวัตถุประสงค์จดแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเกี่ยวกับสื่อ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการจดทะเบียนเลิกบริษัท
2.คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการและศาลปกครองกลาง ให้ไอทีวีเป็นผู้ชนะคดี ได้รับการเยียวยา และคืนสัมปทานคลื่นความถี่โทรทัศน์ แม้ศาลปกครองสูงสุดยังไม่มีคำพิพากษาในคดีนี้ แต่ไอทีวีอยู่ในฐานะที่พร้อมประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์นายพิธาน่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม
3.บริษัทไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการแล้ว แต่ยังมีบริษัทลูกที่ไอทีวีถือหุ้น99% ประกอบกิจการสื่อและมีรายรับจากทำสื่อโฆษณา รายการ ให้เช่าเครื่องมือ ลิขสิทธิ์ แลtอื่นๆ ฯลฯ ที่ถือได้ว่าเป็นธุรกิจสื่อมวลชน
4.ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยว่า หุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานเป็นลักษณะต้องห้ามแม้ถือหุ้นเพียง1หุ้น ก็ขาดคุณสมบัติ
ตอนนี้สว.สมชายที่บอกไว้เช่นกันว่าน้อมรับคำพิพากษาไม่ว่าจะออกมาทางใด น่าจะเตรียมแสดงความคิดเห็นต่อในอีกหนึ่งคดีที่พรรคก้าวไกลถูกกล่าวหาว่า “ล้มล้างการปกครอง”
นักวิชาการท่านหนึงอธิบายว่าการที่ศาลจะพิจารณาว่า บุคคลใดเป็นหรือเคยเป็นกรรมการ หรือผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาตรวจสอบตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ว่าบริษัทได้ประกอบกิจการจริงหรือไม่ มิใช่พิจารณาเพียงวัตถุประสงค์ของบริษัทเท่านั้น
การพิจารณาวัตถุประสงค์ของบริษัทตามที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิแต่เพียงอย่างเดียว แล้วมีมติว่าบริษัทดังกล่าวได้ประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทดังกล่าวได้ประกอบกิจการโทรคมนาคม กรณีจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการพิจารณาคดีของคดีอื่นที่ผ่านมารวมถึงคดีของนายพิธา
- วันนี้ความเป็นสส.ของนายพิธากลับคืนมาหลังจากเสียเวลาไป 6 เดือน นายพิธาเสียโอกาสโหวตนายกฯรอบที่ 2 เสียโอกาสทำหน้าที่ในสภา
- ฝ่ายประชาชนยิ่งเสียประโยชน์ 14 ล้านเสียงเลิอกพรรคก้าวไกลมากเป็นอันดับ 1 หนุนนายพิธาให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมากอันดับ 1 ชนะการเลือกตั้งโดยไม่มีพฤติกรรมในการซื้อเสียง แต่เจอวิชามารเตะตัดขาหัวหน้าพรรคที่ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ให้ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อย่างที่ควรจะเป็นด้วยข้อกล่าวหา “ถือหุ้นสื่อ” สถานีโทรทัศน์ไอทีวี
- วิชามารที่ดูแล้วเหมือนเป็น “ขบวนการสมคบคิด” มีกระบวนการปลุกผีไอทีวีขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการเมือง มีการบิดเบือนการประชุมผู้ถือหุ้น
เริ่มต้นมาจากนาย มิกม์ แสงศิรินาวิน อดีตผู้สมัครสส.สอบตกหลายครั้งหลายสมัยหลายพรรค เป็นคนจุดประเด็นปล่อยเชื้อเอาไว้ในทวิตเตอร์ส่วนตัว ตั้งแต่ 24 เมษายน 2566 ว่ากำลังจะมีนักการเมืองโดนคดีหุ้นสื่อ พร้อมภาพหนังสือนัดประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)
วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 แค่ 2 วันก่อนการเลือกตั้งใหญ่ 14 พฤษภาคม 2566 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครส.ส. อันดับที่ 22 ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นเรื่องร้องต่อกกต. ว่านายพิธา ถือหุ้นสื่อไอทีวี
หลังเลือกตั้งพรรคก้าวไกลนำมาอันดับ1 แต่ผลปรากฏอย่างที่ผ่านมา
- ถามว่าการที่พิธาพลาดโหวตตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรอบ2 กับ 6 เดือนที่พิธาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในสภาฯ ใครต้องรับผิดชอบ
- นายเรืองไกรผู้ร้องเรียน 2 วันก่อนหน้าเข้าคูหาเลือกตั้ง อ้างว่า “รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติก็ยังมาสมัคร” สร้างเงื่อนไขดักรอเล่นงานให้พิธาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ต้องรับผิดชอบหรือไม่
- เข้าข่าย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561มาตรา 143 หรือไม่
- ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ที่ไม่วินิจฉัยให้จบ รู้อยู่แล้วว่าไอทีวีหมดความเป็นสื่อนานแล้ว กกต.เองก็ปล่อยให้พิธานั่งเก้าอี้ในสภามาหนึ่งสมัยแล้ว แทนที่จะทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ กลับโยนเผือกร้อนให้ศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนรับลูกมาแล้วเตะลูกต่อ
- กกต.จะมีสำนึกหรือไม่ หรือต้องมีกระบวนการทบทวนบทบาทหน้าที่ของกกต.กันใหม่เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทำหน้าที่ที่สร้างความไม่เป็นธรรมทางการเมืองดังเช่นที่ผ่านมา
- มีการพูดถึงด่านต่อไปที่รอพิธาและพรรคก้าวไกลอยู่ในวันที่ 31 มกราคม 2567 คือคดีความพยายามการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีการกล่าวหาว่าพยายามล้มล้างการปกครอง ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่าผิดจะมีโทษถึงการ “ยุบพรรค”
- การแก้ไขกฎหมายบางฉบับให้ทันสมัยกลายเป็นความพยายามยกเลิกและล้มล้าง แก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้การเมืองโหนสถาบัน กลายเป็นลดพระราชอำนาจ กระนั้นหรือ?
- แม้จะมีคนฟันธงว่างานนี้ไม่รอดถึงขั้นยุบพรรค แต่อีกฝ่ายก็เชื่อว่ารอด เพราะแม้จะมีการหาเสียงจริงว่าจะแก้ไขมาตรา 112 แต่กฎหมายย่อมแก้ไขได้ การแก้ไขยังไม่เกิดขึ้น หลายคงเชื่อว่าถ้าชงเข้าสภาก็ไม่ผ่าน หรือหากผ่านก็อาจจะทำให้บรรยากาศในสังคมดีขึ้น จะไปคาดการณ์อนาคตว่าจะเลวร้ายด้านเดียวได้อย่างไร
- หรือแค่คิดก็มีความผิดแล้ว ซึ่งขัดกับหลักนิติศาสตร์
- ยิ่งมองในหลักรัฐศาสตร์หากคิดยุบพรรคก้าวไกล ก็เหมือนใส่ปุ๋ยให้ยิ่งเติบโต ยิ่งตีก็ยิ่งโต จากพรรคอนาคตใหม่ 81 เสียง ถูกยุบกลายเป็นพรรคก้าวไกลเกิดใหม่ได้ 151 เสียงเข้าสภา ต่อไปจะกลายเป็นพรรคก้าวกระโดดที่เลือกตั้งใหม่อาจจะได้มากกว่า 250 เสียง
- บทเรียนนี้เคยเห็นกันแล้วกับการยุบพรรคไทยรักไทย กลายเป็นพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน