พรรคเพื่อไทย เดินหน้าดูแลพี่น้องแรงงาน รดน้ำที่ราก สร้างฐานที่แข็งแรง ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทในปีแรก เดินหน้าแก้โครงสร้างสูตรคำนวนค่าจ้างขั้นต่ำ พี่น้องแรงงานต้องได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม สอดคล้องสภาพเศรษฐกิจ

1 พฤษภาคม 2567

วันแรงงานแห่งชาติ

พรรคเพื่อไทย เดินหน้าดูแลพี่น้องแรงงาน

รดน้ำที่ราก สร้างฐานที่แข็งแรง

ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทในปีแรก

เดินหน้าแก้โครงสร้างสูตรคำนวนค่าจ้างขั้นต่ำ

พี่น้องแรงงานต้องได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม

สอดคล้องสภาพเศรษฐกิจ

.

วันนี้เป็นวันสำคัญของพี่น้องแรงงาน พรรคเพื่อไทยจะยกระดับแรงงานไทย มีงานให้เลือก มีรายได้ให้พอ มีเงินให้เหลือในกระเป๋า มีอำนาจให้ต่อรอง มีสังคมและคุณภาพชีวิตให้สามารถส่งต่อให้ลูกหลานได้อย่างมีศักดิ์ศรี พรรคเพื่อไทยยืนยันในหลักการ “รดน้ำที่ราก” โดยนโยบายของพรรคจะเริ่มจากการสร้างฐานที่แข็งแรง

.

การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เรายังคงมุ่งมั่นผลักดันให้ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นให้ถึง 400 บาท ภายในปีแรกที่เข้ามาเป็นรัฐบาล และ 600 บาท ภายในปี 2570 ตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้

.

1 มกราคม 2567 ได้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาแล้ว 1 ครั้ง เป็น 330-370 บาท

.

18 มกราคม 2567 คณะกรรมการค่าจ้างแต่งตั้ง ‘คณะอนุกรรมวิเคราะห์และปรับปรุงสูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ’ หลังจากไม่ได้ปรับสูตรมานาน 10 ปี มีหน้าที่ศึกษาโครงสร้างข้อมูลค่าแรงขั้นต่ำแบบละเอียด เพื่อนำไปใช้ปรับสูตรขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด โดยจะลงลึกเป็นรายพื้นที่ทุกจังหวัด ระดับรายอำเภอ เทศบาล หรือรายเขตกรุงเทพมหานคร รวมถึงรายวิชาชีพ

.

26 มีนาคม 2567 ปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท ในกิจการโรงแรม ระดับ 4 ดาวขึ้นไป มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป มีผล 13 เมษายน 2567 นำร่องใน 10 จังหวัด

.

เรายังคงเดินหน้าในการปรับปรุงสภาพการทำงานและเพิ่มโอกาสให้กับแรงงานไทยในทุกภาคส่วน ด้วยการนำเสนอนโยบายที่ตอบสนองต่อความท้าทายในโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี, การสนับสนุนสิทธิในการฝึกงานที่เหมาะสม, หรือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้ออำนวยให้กับการทำงานของทุกคน และปรับสูตรการคำนวนค่าจ้างให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ

.

พรรคเพื่อไทย มีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนให้แรงงานไทย ไม่เพียงแต่ได้รับความเป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังต้องมีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และสามารถนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน