
ผู้เฒ่าไบเดนเข็นอเมริกา

เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาเปิดข้อมูลว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลฉุดเศรษฐกิจอเมริกาในปี2563 หดตัวลง 3.5% นับว่าหนักสุดในรอบ 74 ปี และนับเป็นข่าวร้ายต้อนรับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ที่ไม่มีเวลาให้ศึกษางาน เพราะโจทย์ใหญ่คือจะพาประเทศให้รอดจากสารพัดวิกฤติอย่างไร
ผลงานของโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันที่ทิ้งเอาไว้ให้ไบเดนคือ ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 26.7 ล้านคน ติดเชื้อใหม่วันละกว่า 1 แสนคน เสียชีวิต 4.5 แสนคน (ข้อมูล ณ 1 กุมภาพันธ์ 2564)
ความเป็นประชาธิปไตยจ๋าอ้างสิทธิไม่สวมหน้ากากอนามัย ส่งผลให้สหรัฐฯไร้ความสามารถในการควบคุมไวรัส ประกอบการระบบสาธารณสุขที่ล้มเหลว ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสูงในสัดส่วน 21% ของจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตทั่วโลก เทียบกับประชากรสหรัฐฯมีสัดส่วนแค่ 4% ของประชากรโลก จึงเป็นวิกฤติด้านสาธารณสุขที่ไบเดนประกาศเป็นวาระแห่งชาติเร่งด่วน
ผลพวงจากโควิด-19 คือปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งมีคนติดเชื้อมากและตายมากก็ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจและวิกฤติด้านแรงงาน เพราะหลายธุรกิจต้องปิดต้องเลิกจ้างและมีผลกระทบเป็นลูกโซ่
ข้อมูลธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ระบุว่าอัตราการว่างงานสูงเกือบ 10% ชาวอเมริกันตอนนี้ตกงานมากกว่า 9 ล้านคน แต่ไบเดนบอกว่าชาวอเมริกัน 18 ล้านคนพึ่งพาเงินประกันการว่างงาน ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าการจ้างงานจะฟื้นตัวเหมือนเดิมก่อนโควิดระบาดคงต้องรอถึงปี 2566
ปัญหาในสังคมอเมริกันที่สั่งสมเป็นฝีกลัดหนองมานานแล้วมาแตกในปลายปีที่แล้วคือการเหยียดสีผิวและความไม่เท่าเทียมในชาติพันธุ์ กลายเป็นวิกฤติใหญ่ทั่วอเมริกาเมื่อมีการประท้วง Black Lives Matter ถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งแม้วันนี้จะดูสงบแต่ไบเดนรู้ดีว่าเชื้อร้ายในแผลยังไม่ได้รับการรักษาและอาจจะรุกรามอีกเมื่อไรก็ได้
ด้านการต่างประเทศ นโยบาย America First ของทรัมป์ที่เอาตัวเองรอดไม่สนคนอื่น กีดกันต่างด้าวเข้าเมืองทั้งเม็กซิกัน มุสลิม จีน เพราะเห็นว่าเข้าไปแย่งงานอาชีพ แย่งเงินและเป็นภัยต่อความมั่นคง แถมยังชวนทะเลาะไปทั่วโลกแม้กระทั่งองค์การอนามัยโลก
กับประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่สงครามการค้ายังคาราคาซัง วันนี้ความสัมพันธ์ตกต่ำที่สุดในช่วงเวลากว่า 30 ปี เพราะทันทีที่ทรัมป์สะบัดตูดออกจากทำเนียบขาว จีนก็ประกาศคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่การทูตอเมริกัน 28 คน เนื่องจากทีมงานของทรัมป์กล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์
แม้ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งไบเดนจะเซ็นคำสั่งหยุดสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโก เลิกคำสั่งห้าม 7 ชาติมุสลิม หยุดถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก ฯลฯ แต่การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ การถ่วงดุลระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออกยังดำเนินต่อไป
นโยบาย Buy American ของไบเดนเพิ่มการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในสินค้าและบริการภายในประเทศ การรณรงค์ให้อุดหนุนสินค้าที่ผลิตในอเมริกาโดยแรงงานอเมริกัน แทนการใช้สินค้านำเข้าหรือผลิตโดยญี่ปุ่นและจีนที่มองว่าคือ “ภัยเหลือง” จะยังเป็นกระแสชาตินิยมที่ไบเดนยังต้องใช้ต่อจากทรัมป์
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ( American Rescue Plan) 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่เดือดร้อน หรืออัดฉีดเม็ดเงินช่วยภาคธุรกิจและการจ้างงาน การฟื้นตัวของกลุ่มชนชั้นกลางที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปนั้น เชื่อว่าจะผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนและวุฒิสภา แต่พรรครีพับลิกันก็ย่อมหาจุดอภิปรายโจมตีไบเดนเป็นการต้อนรับ “น้องใหม่วัยชรา”แน่
โจ ไบเดน วัย 78 ปี เอาชนะทรัมป์ได้เพราะประกาศรวมใจชาวอเมริกันจากปัญหาความแตกแยกในสังคม ประกาศจะแก้ไขปัญหาโควิด-19 อย่างจริงจัง จะฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำ จะนำอเมริกากลับสู่ความเป็นผู้นำโลกอีกครั้ง ( America Must Lead Again)
ความจริงไบเดนไม่ได้คิดจะทำอะไรใหม่เลย แค่พาสหรัฐฯกลับสู่จุดเดิมก่อนทรัมป์จะเดินเข้าทำเนียบขาว หรือปลายยุค“โอบามา 2” เมื่อ 4 ปีก่อน
ไบเดนสามารถนำเสนอภาพลักษณ์ชนะใจชาวอเมริกันส่วนใหญ่ได้เข้านั่งเก้าอี้ห้องรูปไข่ในทำเนียบขาว บทต่อไปคือการนำเสนอภาพลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาต่อชาวโลก ว่าจะยังเป็นคาวบอยกร่างท้าดวลไปทั่วโลก หรือจะเป็นสุภาพชนให้คบหาเป็นพันธมิตรที่ดี
เวลาในการพิสูจน์ฝีมือของไบเดนคงแค่สมัยเดียว เอาแค่ประคองอเมริกาฝ่านานาวิกฤติไปให้ได้ครบเทอมตอนอายุ 82 ปีก็ถือเป็นผลงานของผู้เฒ่าแล้ว