![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
ปั๊มลูกเพื่อชาติ คนไทยไม่สืบพันธุ์
![ปั๊มลูกเพื่อชาติ คนไทยไม่สืบพันธุ์](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/02/ปลายซอย17-1.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแทนที่จะมุ่งดูแลสุขภาพของประชาชน ดูแลสวัสดิการของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงอสม.ทั่วประเทศที่เคยมีบทบาทสูงในช่วงโควิด หรือทำตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ในเรื่องสุขภาพประชาชน
เช่น บัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรีทั่วไทย ลดขั้นตอน ลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ มีระบบจัดตารางงานประชาชนไม่ต้องรอนาน แพทย์พยาบาลไม่ต้องเหนื่อย นัดหมอจากบ้าน นัดคิวออนไลน์ไม่ต้องเสียเวลาไปรับบัตรคิวเพื่อรอหมอตั้งแต่เช้ายันค่ำ หรือนโยบาย 50 เขต 50 โรงพยาบาล กทม.ต้องมีโรงพยาบาลรัฐขนาด 120 เตียงขึ้นไปประจำทุกเขต และอีกหลายเรื่องที่หาเสียงไว้แล้วยังไม่ได้ลงมือทำ
แต่วันนี้มาให้ความสำคัญเรื่องปัญหาประชากรลดลงที่ต้องเร่งแก้ไข ที่ต้องชักชวนชาวไทยให้ช่วยกัน “ปั๊มลูกเพื่อชาติ”
ตามสไตล์ของนักการเมืองที่ต้องตีกลองให้กระหึ่มเมื่อกรมอนามัย ออกมาขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพ ภายใต้แนวคิด “Give Birth Great World การเกิดคือการให้ที่ยิ่งใหญ่” สนับสนุนให้โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งจัดตั้งคลินิกส่งเสริมการมีบุตร บริการให้คำปรึกษา วางแผนการตั้งครรภ์ วินิจฉัยและรักษาภาวะมีบุตรยาก รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก
เรื่องนี้ทีมงานโฆษกรัฐบาลบอกล่วงหน้าว่าในเดือนมีนาคมจะมีนโยบายผลักดันและส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ ในการพัฒนาประชากรและทุนมนุษย์ ให้เป็น “วาระแห่งชาติ” เช่นมาตรการสร้างความสมดุลการทำงานกับการดูแลครอบครัว การแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและภาระในการเลี้ยงดูบุตร การช่วยเหลือคนที่มีบุตรยาก
รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มหนุ่มโสด สาวโสดที่อยากมีบุตรแต่ไม่อยากมีคู่ให้มีโอกาสที่จะมีบุตรได้ ซึ่งก็คงต้องไปถกเถียงกันต่อในสภา
กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลว่าประเทศไทยประสบปัญหาเด็กเกิดน้อยมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 485,085 ราย น้อยที่สุดในรอบกว่า 70 ปี และจำนวนการเกิดยังน้อยกว่าการตาย ทำให้จำนวนประชากรลดลงตั้งแต่ปี 2564 และหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป คาดการณ์ว่า ในอีก 60 ปี ข้างหน้า จำนวนประชากรไทยจะลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 33 ล้านคน จากปัจจุบัน 66 ล้านคนซึ่งจะเสี่ยงต่อการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ
ความจริงสิ่งที่นพ.ชลน่านออกมาพูดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นงานที่นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พรรคประชาธิปัตย์ เคยทำไว้เมื่อ2ปีก่อน
กุมภาพันธ์ 2564 นายสาธิตเป็นประธานการแถลงข่าว “Life Balance Smart Family ชีวิตสมดุล ครอบครัวคุณภาพ” ว่ารัฐบาลสนับสนุนและส่งเสริมการเกิดเพิ่มขึ้นด้วยความสมัครใจ โดยจะสร้างความสมดุลในชีวิตให้กับประชาชน ทั้งความสมดุลในด้านการทำงาน การเลี้ยงดูบุตร การมีรายได้ สุขภาพ การศึกษา สังคม และสิ่งแวดล้อม
ตอนนั้นแจ้งว่าปี 2563 จำนวนการเกิดของเด็กไทย ลดต่ำกว่า 600,000 คนเป็นครั้งแรก และมีแนวโน้มจะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จึงนำยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ มาใช้ให้เกิดการบูรณาการระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในการส่งเสริมการเกิด และการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์และมาตรการที่มีอยู่เดิม และการพัฒนาสิทธิประโยชน์ใหม่ที่จำเป็น
จะเห็นว่าแท้ที่จริงก็คืองานเดิมที่กรมอนามัยดำเนินการ แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนเจ้ากระทรวงก็ต้องเปลี่ยนแคมเปญให้นักการเมืองที่มาใหม่ได้ออกสื่อโชว์แผนงานในหัวข้อเก่า ปั๊มลูกเพื่อชาติ ขยายจำนวนประชากร ส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ เพื่อพัฒนาประชากรและทุนมนุษย์ ส่งเสริมความสมดุลในการทำงานกับการดูแลครอบครัว การแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและการเลี้ยงดูบุตร การช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก การเข้าถึงเทคโนโลยีแห่งการเจริญพันธุ์
อดีตตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้ส่งเสริมครอบครัวไทยให้มีบุตรเยอะๆเพื่อเป็นกำลังสร้างชาติ ปี 2506 -2526 มีเด็กเกิดใหม่เกินกว่า 1 ล้านคนทุกปี แต่หลังปี 2526 การเกิดลดต่ำกว่า 1 ล้านคน จากนโยบายคุมกำเนิดที่ค่อนข้างได้ผล
ถ้าไปดูหลังการรัฐประหารปี 2557 อัตราการเกิดปักหัวลงอย่างดำดิ่ง จนมาถึงปี 2564 ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของจำนวนประชากร ปี 2564 คนตาย 563,650 มากกว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่ 544,570 คน
น่าสงสัยว่าเด็กไทยคงกลัวทหารจนหัวหดไม่อยากมาเกิด หรือเพราะผลงานของทหารในการยึดอำนาจบริหารประเทศยาวนานเกือบทศวรรษจนเศรษฐกิจโงหัวไม่ขึ้น ทหารอิ่มแปร้แต่ชาวบ้านอดอยาก นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับ มีหนี้ต้องจ่าย มีเจ้าหนี้คอยทวงถาม แค่เลี้ยงปากท้องตัวเองยังแทบไม่รอดแล้วใครจะคิดอยากมีลูกมาเพิ่มภาระให้หนักขึ้น
ถ้าเศรษฐกิจดีทำมาค้าขายรายได้ดี เงินสะพัด มีปัญญาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ กินอิ่มครบ 3 มื้อ มีเงินเหลือได้เที่ยวได้ช็อปปิ้งบ้าง เรื่องแต่งเมีย มีผัว มีลูก น่าจะตามมาเองโดยอัตโนมัติ
แต่วันนี้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำออกมาเขย่าทุกวันว่า “ประเทศกำลังวิกฤติ” กำลังพยายามจะกู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาแจกเป็นเงินดิจิทัลหัวละ1หมื่นบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แสดงว่าอนาคตจะลำบาก อนาคตยังมืดมน หมดเงินหมื่นแล้วจะเป็นยังไง บรรยากาศแบบนี้ใครจะอยากปั๊มลูก
“เงินอุดหนุนบุตร”เดือนละ 600 บาท(เท่าเบี้ยยังชีพคนชรา) ตามนโยบายลูกคนแรก ที่รัฐบาลก่อนทำออกมาเพื่อช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดไปจนถึง 6 ปี ก็แค่เศษเงินที่ไม่เพียงพอต่อการให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยตามที่รัฐบาลคุยโม้เอาไว้
นพ.ชลน่านแม้จะเป็นผู้สูงวัยแล้วแต่ก็ยังร่วมสมัยคงเข้าใจดีว่า โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่อีกหลายสิบประเทศก็กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกันเรื่องคนเกิดน้อยกว่าคนตายอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจและความกดดันทางสังคม
สังคมสมัยก่อนมีลูกหลานเยอะเพราะหวังให้ลูกหลานเลี้ยงยามแก่ชรา แต่คนยุคใหม่คิดว่าสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณโดยไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน มีการวางแผนชีวิตที่จะไม่มีลูกให้เป็นภาระ
ทำไมคนสมัยนี้ไม่อยากมีลูกไม่อยากสืบสายพันธุ์ ไม่ใช่แค่เรื่องค่าครองชีพ ความพร้อมหรือไม่พร้อม แต่มีปัจจัยสภาพแวดล้อมที่อันตราย ยาบ้าเต็มบ้าน ปืนเต็มเมือง อาชญากร บ่อน ซ่อง พวกป่วยจิต ปล้น จี้ ฆ่า ข่มขืน มลพิษ คนต่างด้าว ทุนสีเทา ที่เข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพ ฯลฯ ซึ่งแนวโน้มมีแต่จะเลวร้ายยิ่งขึ้น มองไม่เห็นอนาคตที่ดีขึ้น ไม่อยากให้ลูกเกิดมาเผชิญสิ่งเหล่านี้ สงสารเด็กที่จะเกิดมาพบเจออาจจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
หลายครอบครัวพ่อแม่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มีการศึกษาพร้อมในการผลิตลูก แต่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงให้เด็กคนนั้นเติบโตเป็นคนที่เคารพกฎกติกาสังคม ทำคุณประโยชน์แก่สังคม หรือไม่เป็นภาระแก่สังคมหรือไม่ เพราะระบบการศึกษาที่เก่าคร่ำครึไม่เคยเปลี่ยนแปลง จ่ายตั้งแต่วันมอบตัว จ่ายแล้วจบ โกงอาหารกลางวันเด็ก บูลลี่ในโรงเรียน
คู่สมรสจำนวนมากไม่อยากมีลูกเพราะรู้ว่าเมื่อโตไปทำงานให้รัฐขูดรีดภาษี ภาษีส่วนใหญ่ใช้เลี้ยงข้าราชการและนักการเมืองโกงกิน แล้วสุดท้ายรับเบี้ยยังชีพเดือนละ 600 บาท บำนาญชราภาพเดือนละ 4,350 บาท ส่วนอนาคตยังต้องลุ้นว่า “กองทุนประกันสังคม”จะสภาพคล่องและล้มละลายหรือไม่ เพราะต้องจ่ายเงินบำนาญมากกว่ารายได้เข้ากองทุน
อีกเหตุผลที่คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะเห็นว่าสังคมยุคนี้แย่มาก คนส่วนใหญ่เห็นแก่ตัว ไม่เคารพกฎหมาย ใช้ความรุนแรงมากกว่าเหตุผล บูชาเงิน ขาดศีลธรรม เนติบริกรรับใช้ผู้มีอำนาจ ตุลาการขาดความเที่ยงธรรม นักการเมืองไม่มีคุณธรรม ไม่เห็นนักการเมืองที่อุทิศตนเพื่อชาติ เห็นแต่คนสับปรับปลิ้นปล้อนทั้งในและนอกสภา
บางคนยอมทิ้งอุดมการณ์ กลืนน้ำลายตัวเองเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลให้ได้เป็นรัฐมนตรี