Digiqole ad

ปั๊มลูกเพื่อชาติ คนไทยไม่สืบพันธุ์

 ปั๊มลูกเพื่อชาติ  คนไทยไม่สืบพันธุ์
Social sharing

Digiqole ad

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแทนที่จะมุ่งดูแลสุขภาพของประชาชน  ดูแลสวัสดิการของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์  รวมไปถึงอสม.ทั่วประเทศที่เคยมีบทบาทสูงในช่วงโควิด  หรือทำตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ในเรื่องสุขภาพประชาชน 

เช่น บัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรีทั่วไทย  ลดขั้นตอน ลดภาระบุคลากรทางการแพทย์  มีระบบจัดตารางงานประชาชนไม่ต้องรอนาน  แพทย์พยาบาลไม่ต้องเหนื่อย  นัดหมอจากบ้าน  นัดคิวออนไลน์ไม่ต้องเสียเวลาไปรับบัตรคิวเพื่อรอหมอตั้งแต่เช้ายันค่ำ  หรือนโยบาย 50 เขต 50 โรงพยาบาล  กทม.ต้องมีโรงพยาบาลรัฐขนาด 120 เตียงขึ้นไปประจำทุกเขต  และอีกหลายเรื่องที่หาเสียงไว้แล้วยังไม่ได้ลงมือทำ

แต่วันนี้มาให้ความสำคัญเรื่องปัญหาประชากรลดลงที่ต้องเร่งแก้ไข  ที่ต้องชักชวนชาวไทยให้ช่วยกันปั๊มลูกเพื่อชาติ 

 ตามสไตล์ของนักการเมืองที่ต้องตีกลองให้กระหึ่มเมื่อกรมอนามัย  ออกมาขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพ ภายใต้แนวคิด Give Birth Great World การเกิดคือการให้ที่ยิ่งใหญ่สนับสนุนให้โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งจัดตั้งคลินิกส่งเสริมการมีบุตร บริการให้คำปรึกษา วางแผนการตั้งครรภ์ วินิจฉัยและรักษาภาวะมีบุตรยาก รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก

               เรื่องนี้ทีมงานโฆษกรัฐบาลบอกล่วงหน้าว่าในเดือนมีนาคมจะมีนโยบายผลักดันและส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ ในการพัฒนาประชากรและทุนมนุษย์ ให้เป็น “วาระแห่งชาติ”  เช่นมาตรการสร้างความสมดุลการทำงานกับการดูแลครอบครัว  การแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและภาระในการเลี้ยงดูบุตร การช่วยเหลือคนที่มีบุตรยาก  

รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มหนุ่มโสด สาวโสดที่อยากมีบุตรแต่ไม่อยากมีคู่ให้มีโอกาสที่จะมีบุตรได้  ซึ่งก็คงต้องไปถกเถียงกันต่อในสภา

กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลว่าประเทศไทยประสบปัญหาเด็กเกิดน้อยมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 485,085 ราย น้อยที่สุดในรอบกว่า 70 ปี และจำนวนการเกิดยังน้อยกว่าการตาย ทำให้จำนวนประชากรลดลงตั้งแต่ปี 2564 และหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป คาดการณ์ว่า ในอีก 60 ปี ข้างหน้า จำนวนประชากรไทยจะลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 33 ล้านคน จากปัจจุบัน 66 ล้านคนซึ่งจะเสี่ยงต่อการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

ความจริงสิ่งที่นพ.ชลน่านออกมาพูดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่  แต่เป็นงานที่นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พรรคประชาธิปัตย์ เคยทำไว้เมื่อ2ปีก่อน

               กุมภาพันธ์ 2564 นายสาธิตเป็นประธานการแถลงข่าว “Life Balance Smart Family ชีวิตสมดุล ครอบครัวคุณภาพ” ว่ารัฐบาลสนับสนุนและส่งเสริมการเกิดเพิ่มขึ้นด้วยความสมัครใจ โดยจะสร้างความสมดุลในชีวิตให้กับประชาชน ทั้งความสมดุลในด้านการทำงาน การเลี้ยงดูบุตร การมีรายได้ สุขภาพ การศึกษา สังคม และสิ่งแวดล้อม 

                ตอนนั้นแจ้งว่าปี 2563 จำนวนการเกิดของเด็กไทย ลดต่ำกว่า 600,000 คนเป็นครั้งแรก และมีแนวโน้มจะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จึงนำยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ มาใช้ให้เกิดการบูรณาการระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในการส่งเสริมการเกิด และการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์และมาตรการที่มีอยู่เดิม และการพัฒนาสิทธิประโยชน์ใหม่ที่จำเป็น

จะเห็นว่าแท้ที่จริงก็คืองานเดิมที่กรมอนามัยดำเนินการ  แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนเจ้ากระทรวงก็ต้องเปลี่ยนแคมเปญให้นักการเมืองที่มาใหม่ได้ออกสื่อโชว์แผนงานในหัวข้อเก่า  ปั๊มลูกเพื่อชาติ  ขยายจำนวนประชากร  ส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ  เพื่อพัฒนาประชากรและทุนมนุษย์  ส่งเสริมความสมดุลในการทำงานกับการดูแลครอบครัว การแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและการเลี้ยงดูบุตร  การช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก  การเข้าถึงเทคโนโลยีแห่งการเจริญพันธุ์

อดีตตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้ส่งเสริมครอบครัวไทยให้มีบุตรเยอะๆเพื่อเป็นกำลังสร้างชาติ  ปี 2506 -2526 มีเด็กเกิดใหม่เกินกว่า 1 ล้านคนทุกปี  แต่หลังปี 2526 การเกิดลดต่ำกว่า 1 ล้านคน จากนโยบายคุมกำเนิดที่ค่อนข้างได้ผล

ถ้าไปดูหลังการรัฐประหารปี 2557 อัตราการเกิดปักหัวลงอย่างดำดิ่ง  จนมาถึงปี 2564 ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว  มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของจำนวนประชากร  ปี 2564 คนตาย 563,650 มากกว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่ 544,570 คน

น่าสงสัยว่าเด็กไทยคงกลัวทหารจนหัวหดไม่อยากมาเกิด  หรือเพราะผลงานของทหารในการยึดอำนาจบริหารประเทศยาวนานเกือบทศวรรษจนเศรษฐกิจโงหัวไม่ขึ้น  ทหารอิ่มแปร้แต่ชาวบ้านอดอยาก นอนไม่หลับ  กระส่ายกระสับ  มีหนี้ต้องจ่าย  มีเจ้าหนี้คอยทวงถาม  แค่เลี้ยงปากท้องตัวเองยังแทบไม่รอดแล้วใครจะคิดอยากมีลูกมาเพิ่มภาระให้หนักขึ้น

               ถ้าเศรษฐกิจดีทำมาค้าขายรายได้ดี เงินสะพัด มีปัญญาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ กินอิ่มครบ 3 มื้อ  มีเงินเหลือได้เที่ยวได้ช็อปปิ้งบ้าง  เรื่องแต่งเมีย มีผัว มีลูก น่าจะตามมาเองโดยอัตโนมัติ

               แต่วันนี้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำออกมาเขย่าทุกวันว่า ประเทศกำลังวิกฤติ  กำลังพยายามจะกู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาแจกเป็นเงินดิจิทัลหัวละ1หมื่นบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  แสดงว่าอนาคตจะลำบาก  อนาคตยังมืดมน  หมดเงินหมื่นแล้วจะเป็นยังไง  บรรยากาศแบบนี้ใครจะอยากปั๊มลูก

“เงินอุดหนุนบุตร”เดือนละ 600 บาท(เท่าเบี้ยยังชีพคนชรา) ตามนโยบายลูกคนแรก ที่รัฐบาลก่อนทำออกมาเพื่อช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดไปจนถึง 6 ปี  ก็แค่เศษเงินที่ไม่เพียงพอต่อการให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยตามที่รัฐบาลคุยโม้เอาไว้

นพ.ชลน่านแม้จะเป็นผู้สูงวัยแล้วแต่ก็ยังร่วมสมัยคงเข้าใจดีว่า โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ใช่แค่ประเทศไทย  แต่อีกหลายสิบประเทศก็กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกันเรื่องคนเกิดน้อยกว่าคนตายอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจและความกดดันทางสังคม

สังคมสมัยก่อนมีลูกหลานเยอะเพราะหวังให้ลูกหลานเลี้ยงยามแก่ชรา  แต่คนยุคใหม่คิดว่าสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณโดยไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน  มีการวางแผนชีวิตที่จะไม่มีลูกให้เป็นภาระ  

 

ทำไมคนสมัยนี้ไม่อยากมีลูกไม่อยากสืบสายพันธุ์  ไม่ใช่แค่เรื่องค่าครองชีพ  ความพร้อมหรือไม่พร้อม  แต่มีปัจจัยสภาพแวดล้อมที่อันตราย ยาบ้าเต็มบ้าน ปืนเต็มเมือง อาชญากร บ่อน ซ่อง พวกป่วยจิต ปล้น จี้ ฆ่า ข่มขืน มลพิษ คนต่างด้าว ทุนสีเทา ที่เข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพ ฯลฯ ซึ่งแนวโน้มมีแต่จะเลวร้ายยิ่งขึ้น  มองไม่เห็นอนาคตที่ดีขึ้น  ไม่อยากให้ลูกเกิดมาเผชิญสิ่งเหล่านี้ สงสารเด็กที่จะเกิดมาพบเจออาจจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

หลายครอบครัวพ่อแม่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มีการศึกษาพร้อมในการผลิตลูก  แต่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงให้เด็กคนนั้นเติบโตเป็นคนที่เคารพกฎกติกาสังคม  ทำคุณประโยชน์แก่สังคม  หรือไม่เป็นภาระแก่สังคมหรือไม่  เพราะระบบการศึกษาที่เก่าคร่ำครึไม่เคยเปลี่ยนแปลง  จ่ายตั้งแต่วันมอบตัว จ่ายแล้วจบ โกงอาหารกลางวันเด็ก บูลลี่ในโรงเรียน 

คู่สมรสจำนวนมากไม่อยากมีลูกเพราะรู้ว่าเมื่อโตไปทำงานให้รัฐขูดรีดภาษี  ภาษีส่วนใหญ่ใช้เลี้ยงข้าราชการและนักการเมืองโกงกิน  แล้วสุดท้ายรับเบี้ยยังชีพเดือนละ 600 บาท บำนาญชราภาพเดือนละ 4,350 บาท  ส่วนอนาคตยังต้องลุ้นว่ากองทุนประกันสังคมจะสภาพคล่องและล้มละลายหรือไม่ เพราะต้องจ่ายเงินบำนาญมากกว่ารายได้เข้ากองทุน  

อีกเหตุผลที่คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะเห็นว่าสังคมยุคนี้แย่มาก  คนส่วนใหญ่เห็นแก่ตัว  ไม่เคารพกฎหมาย  ใช้ความรุนแรงมากกว่าเหตุผล  บูชาเงิน  ขาดศีลธรรม  เนติบริกรรับใช้ผู้มีอำนาจ  ตุลาการขาดความเที่ยงธรรม   นักการเมืองไม่มีคุณธรรม ไม่เห็นนักการเมืองที่อุทิศตนเพื่อชาติ  เห็นแต่คนสับปรับปลิ้นปล้อนทั้งในและนอกสภา 

บางคนยอมทิ้งอุดมการณ์ กลืนน้ำลายตัวเองเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลให้ได้เป็นรัฐมนตรี  

Facebook Comments


Social sharing

Related post