Digiqole ad

ปัญหาสุขภาพจิต วิกฤตที่งบประมาณ ‘ไม่ตอบโจทย์’?

 ปัญหาสุขภาพจิต วิกฤตที่งบประมาณ ‘ไม่ตอบโจทย์’?
Social sharing

Digiqole ad
ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณ 2567 สิริลภัส กองตระการ สส.กรุงเทพฯ เขต 14 พรรคก้าวไกล อภิปรายเกี่ยวกับงบสาธารณสุข โดยระบุว่า รมว.สาธารณสุข จากพรรคเพื่อไทยได้ยกประเด็นเรื่องสุขภาพจิตและยาเสพติด เป็นนโยบายสำคัญ 1 ใน 13 นโยบาย แต่ดูเหมือนรัฐบาลเน้นให้ความสำคัญกับปัญหาผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติด แต่ยังให้น้ำหนักกับปัญหาสุขภาพจิตน้อยเกินไป
.
เมื่อดูข้อมูลจะเห็นว่า ผู้ป่วยสุขภาพจิตที่เกิดจากสารเสพติดมีจำนวน 2 แสนกว่าคน ขณะที่ผู้ป่วยทางสุขภาพจิตอื่นๆ มีจำนวนกว่า 1 ล้านคน แตกต่างกันถึง 5 เท่า เฉพาะจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้นเพิ่มขึ้นทุกปี สถิติปีล่าสุดมีจำนวนมากถึง 360,000 คน ตนจึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิตของประชาชนหรือไม่
.
สิริลภัส กล่าวต่อว่า แนวนโยบายของรัฐบาล ทั้งมินิธัญญารักษ์ หอผู้ป่วยจิตเวชหรือศูนย์บำบัดในชุมชน มีแนวปฏิบัติที่เน้นอาการจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่กลับไม่ได้สะท้อนถึงเรื่องปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งเป็นวิกฤตที่ใหญ่และหนักขึ้นทุกปี
.
จากข้อมูล อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จในประเทศไทยปี 2565 อยู่ที่ 7.97 คนต่อประชากรแสนคน มีจำนวนคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จถึง 5,260 คน หรือทุกๆ วันจะมีคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จ 14 คน โดยพบว่าผู้ฆ่าตัวตายสําเร็จประมาณ 9 ใน 10 คน มีความเจ็บป่วยทางจิตเวชอย่างใดอย่างหนึ่งขณะทําการฆ่าตัวตาย
.
เหตุการณ์รุนแรงที่สร้างความสูญเสีย สาเหตุหนึ่งมาจากผู้ป่วยจิตเวชที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ถึงแม้จะได้รับการรักษากลับออกมาแล้วแต่ไม่มีคนคอยดูแล กำชับเรื่องการรับประทานยา อาการก็อาจกลับมากำเริบอีก อาจกลับไปก่อเหตุความรุนแรงได้อีก
.
ทั้งที่ปัญหารุนแรงขึ้น แต่ประชาชนกลับเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างค่อนข้างจำกัด นักจิตวิทยาคลินิกขาดแคลน เช่น ในภาคอีสาน มีจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก
.
นี่คือวิกฤตสุขภาพจิตของประชาชน แต่เมื่อดูการจัดสรรงบประมาณปี 2567 กรมสุขภาพจิตได้รับเพียง 1.80% ของงบกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น ทั้งที่กรมฯ ขอไปประมาณ 4,300 ล้านบาท แต่ได้จัดสรรงบมาเพียง 2,999 ล้านบาท โดนตัดออกไปกว่า 69.4%
.
หากตัดงบแผนงานบุคลากรภาครัฐออกไป จะเห็นว่างบที่จัดสรรให้โครงการที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตปี 67 อยู่ที่ 693 ล้านบาท และเมื่อเจาะดูรายโครงการที่ดูแลสุขภาพจิตวัยรุ่นและวัยทำงานที่มีตัวเลขการพยายามฆ่าตัวตายสูง พบว่ามีเพียงโครงการเสริมสร้างศักยภาพวัยเรียนและวัยรุ่น 3.6 ล้านบาท และโครงการเสริมสร้างสุขภาพจิตวัยทำงาน 2.8 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีสถิติการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงถึง 9.47 ต่อประชากรแสนคน แต่โครงการเสริมสร้างสุขภาพจิตวัยสูงอายุ ให้งบเพียง 7.6 ล้านบาทเท่านั้น รัฐบาลจะสร้างเกราะด้านสุขภาพจิตให้วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุได้อย่างไร ในการจัดสรรงบประมาณเท่านี้
.
ส่วนที่เป็นงบประมาณจัดสรรใหม่และดูจะเป็นความหวังของประชาชน คืองบประมาณของสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ที่ปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 21 ล้านบาท และงบสนับสนุนจาก สปสช. อีก 5 ล้านบาท ทำให้จะสามารถรองรับได้ 520,000 กว่าสาย จากเดิมที่ให้บริการได้ไม่เกิน 1 แสนสายต่อปี
.
แต่เมื่อมาดูค่าบริการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ที่จ่ายแบบเหมาจ่ายให้กับบุคลากรด่านหน้าที่ต้องให้คำปรึกษาต่อประชาชนกลุ่มเสี่ยง อยู่ที่เพียง 50 บาทต่อครั้ง โดยจ่ายเฉพาะรายที่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้ ส่วนกรณีที่ผู้รับบริการไม่สะดวกใจที่จะบอกชื่อนามสกุลจริง แบบนี้ก็อาจไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือไม่
.
“ในค่าตอบแทนเท่านี้ กับภาระงานของบุคลากรด่านหน้าที่ต้องรับผิดชอบกับชีวิตและความรู้สึกของคน ท่านควรกลับไปทบทวนถึงค่าตอบแทนที่คุ้มค่าและสร้างแรงจูงใจให้กับคนที่ทำงานบริการสายด่วนสุขภาพจิตใหม่ ถ้าท่านมีงบเพื่อขยายคู่สายแต่ไม่มีคนทำงาน สุดท้ายแล้วการขยายคู่สายนั้นก็เปล่าประโยชน์”
.
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องการจริงๆ จากรัฐบาล คือการจัดสรรงบประมาณที่แก้ปัญหาให้ตรงจุด สิ่งที่รัฐบาลต้องใส่ใจ คือคำนึงถึงปัญหาจริงที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้บริการ รวมถึงแก้ไขปัญหาภาระงานบุคลากรทางแพทย์
.
รัฐควรจัดสรรงบเพื่อเพิ่มบุคลากรด่านหน้าและสร้างแรงจูงใจด้านค่าตอบแทน เช่น การอุดหนุน อัตราค่าบริการสายด่วนสุขภาพจิต หรือผลิตนักบำบัดที่เป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อสร้างด่านกลั่นกรองให้กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงได้เข้าถึงการบำบัดรักษาฟื้นฟูสภาพจิตใจในระยะเบื้องต้นได้ก่อน หรือ โดยที่ไม่ต้องส่งต่อไปถึงจิตแพทย์ด้วยซ้ำ
.
รัฐควรจัดสรรงบเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการรักษา เช่น สิทธิการพบนักจิตวิทยา ควรมีสิทธิการรักษาครอบคลุมเหมือนกับการพบจิตแพทย์ ประชาชนไม่ต้องจ่ายส่วนต่าง
.
รัฐควรจัดสรรงบเพื่อเพิ่มบัญชียาหลักให้กับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิการรักษาพยาบาล เพราะปัจจุบันผู้ป่วยบางคนไม่สามารถใช้ยาที่อยู่ในบัญชียาหลักได้ เนื่องจากผลข้างเคียงของยามีผลในการใช้ชีวิต ทำให้ต้องออกค่าใช้จ่ายในการซื้อยาตัวอื่นที่ไม่มีผลข้างเคียงแทน ถ้าเพิ่มบัญชียาหลักได้ ผู้ป่วยก็มีทางเลือกมากขึ้น ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง
.
สุดท้ายอยากให้รัฐบาลชุดนี้ ให้ความสำคัญกับทุกปัญหาเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติดและผู้ป่วยจิตเวช หรือปัญหาด้านสุขภาพจิต
.
เพราะจำนวนผู้ป่วย ไม่ใช่แค่สถิติตัวเลข แต่คือ “ชีวิต”
.
คือพ่อแม่ของใครสักคน
คือลูกที่เป็นที่รักของครอบครัว
คือเพื่อนที่เป็นที่รักของคนรอบข้าง
เป็นบุคลากรที่ขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
.
ที่มา : เพจพรรคก้าวไกล
Facebook Comments


Social sharing

Related post