![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
ประเทศไทย 2566 ดี – ไม่ดี…อยู่ที่ผู้นำ
![ประเทศไทย 2566 ดี – ไม่ดี…อยู่ที่ผู้นำ](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2023/01/ปลายซอย17.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
ครั้งที่นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( IMF) เข้าร่วมเวทีการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC ที่กรุงเทพมหานครเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพนั้น ผู้อำนวยการ IMF ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่าเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก APEC ส่วนใหญ่กำลังชะลอตัวลง และอย่างน้อย 1 ใน 3 ของโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะขยายตัวได้ร้อยละ 2.7 ชะลอลงจากร้อยละ 3.2 ในปี 2565
เมื่อย่างเข้าสู่ศักราชใหม่นางจอร์เจียวาได้ตอกย้ำความเห็นดังกล่าวอีกครั้งว่า ปี 2566 จะเป็นปีที่ยากลำบากมากกว่าในปี 2565 ที่ผ่านมาแน่ เพราะผู้นำหลักที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน และสหภาพยุโรป มีภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในเวลาเดียวกัน
สำหรับรัฐบาลทั่วโลกที่ต้องรับผิดชอบดูแลด้านเศรษฐกิจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และผู้ประกอบการธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ สัญญาณเตือนที่ส่งมาจากIMF ถือเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจที่ไม่อาจมองข้าม ยิ่งถ้าเป็นชาติที่ฐานะการเงินการคลังยังไม่แข็งแกร่ง ยังมีหนี้สินทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต้องชำระ ยังมีความเสี่ยงต่อปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ยังมีปัญหาคุณภาพชีวิตของคนในชาติให้ต้องดูแล ยิ่งต้องเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่จะตามมาในเวลาอันใกล้
แต่สำหรับรัฐบาลไทยภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำลังนับถอยหลังสู่การสิ้นสุดอำนาจในเดือนมีนาคม(หากไม่ยุบสภาก่อน)มิได้สะทกสะท้านกับสัญญาณจากIMF กลับแสดงความมั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถยืนหยัดสวนกระแสโลกได้ เพราะตอนสิ้นปีลุงตู่ได้ประกาศต่อคนไทยทั้งประเทศว่า 2565 ที่ผ่านมา เป็น “ปีแห่งชัยชนะในการฝ่าวิกฤติซ้อนวิกฤติ” จึงต้องสร้างความเชื่อมั่นด้วยการอ้างอิงข้อมูลของIMFว่าในบางพื้นที่อย่างอาเซียนยังคงมีความสดใส โดยเฉพาะไทยและจีนเป็นเพียง 2 ประเทศในเอเชียที่เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2566
ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 11 ล้านคนที่หวนคืนประเทศไทยในปีที่ผ่ามา ประกอบกับภาพคนไทยเที่ยวไทย ในช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่แออัดแน่นขนัดทุกแหล่งท่องเที่ยว อีกทั้งยังปรากฎเป็นข่าวไปทั่วโลกกับภาพพลุไฟอลังการริมแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเวลา Countdown 2023 คือผลงานที่ภาครัฐบาลใช้เคลมว่าปี 2566 “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ที่เป็นเครื่องยนต์หลักของชาติจะกลับมาทำงานสร้างความสดใสต่อระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนเปิดประเทศนับตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 แล้วคนจีนนับล้านจะกลับมาเที่ยวไทย
นอกจากนี้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเห็นว่าปี 2566 ไทยจะมีความเติบโตด้านการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพราะปรากฎการณ์ด้านการตลาดที่บูมมากในปี 2565 และยังมีแนวโน้มบูมต่อเนื่องในปี 2566 อีกเป็นเท่าตัว จึงเป็นการดึงดูดค่ายรถยนต์จีนเข้ามามากขึ้น การปรับตัวของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น การขยับขยายการลงทุนของค่ายตะวันตก ทั้งการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า โรงงานผลิตแบตเตอรี่ การตั้งสถานีชาร์ตไฟฟ้าทั่วประเทศ
คนไทยส่วนหนึ่งพร้อมจะรับข่าวดีและเชื่อตามที่รัฐบาลว่า แต่อีกส่วนหนึ่งที่ติดตามข่าวสารหลายช่องทางย่อมมีทั้งที่เห็นต่างและเห็นแย้ง
จากการประมวลความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักวิจารณ์จากหลากหลายสถาบันพอจะสรุปได้ว่า “ปี 2566 ยังมีความไม่แน่นอนสูง” อันเนื่องมาจากปัญหา “ภูมิรัฐศาสตร์” สหรัฐฯมีโอกาสสูงที่จะถดถอยเพราะเงินเฟ้อสูง ตลาดแรงงานชะลอตัว ดอกเบี้ยแพง สินเชื่อเข้มงวด ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง
ชาติตะวันตกให้ความสำคัญต่อความไม่แน่นอนและความเสี่ยงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ว่าจะยังยืดเยื้อที่จะส่งผลราคาน้ำมันและก๊าซยังตรึงราคาสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดวิกฤติด้านค่าครองชีพในกลุ่มยุโรปที่ต้องแบกรับผลไปเต็มๆเพราะหลงเชื่อสหรัฐฯไปร่วมคว่ำบาตรรัสเซีย ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน จะยังคงอยู่ต่อไป จะไม่มีทางพัฒนาไปสู่การใช้อาวุธแต่สหรัฐฯอาจจะหาวิธีเพิ่มแรงกดดันผ่านเวทีการเมืองระหว่างประเทศ หรือมาตรการต่างๆเพื่อกีดกันจีนไม่ให้ล้ำหน้า
ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ปัญหา “เงินเฟ้อ” อาจจะถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่ดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่ลดลงง่ายๆเพราะยังต้องใช้ควบคุมเงินเฟ้อต่อไป GDPโลกอาจโตแค่ 1.6% ไม่ถึง 2.7% อย่างที่IMF เคยคาดเอาไว้ ดีไม่ดีอาจจะโตแค่ 1.2% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวต่ำสุดในรอบ 40 ปี โดยเฉพาะเบอร์ 1 ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา อาจจะโตแค่ 0.8% สหภาพยุโรปยิ่งบักโกรกจะโตแค่ 0.5% จะเข้าสู่ภาวะ Stagflation ( เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อพุ่งสูง) จะวุ่นวายยิ่งขึ้น
ช่วงที่จีนตัดสินใจปิดประเทศใช้นโยบาย Zero-COVID เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดนั้น นานาชาติรวมทั้งสหรัฐฯเรียกร้องให้จีนเปิดประเทศเพราะส่งผลกระทบหนักต่อระบบเศรษฐกิจโลก แต่พอจีนลดความเข้มงวดประกาศเปิดประตูรับคนนอกเข้า-จะให้คนในออก เพราะฝ่ายสาธารณสุขจีนเห็นว่าเชื้อไวรัสในจีนได้กลายพันธุ์เป็นไม่รุนแรง คนจีนจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไวรัสเช่นเดียวกับที่สาธารณสุขไทยประกาศเป็น “โรคประจำถิ่น”ไปแล้ว หลายประเทศตกใจพากันยกการ์ดสูงตั้งเงื่อนไขคนจีนเข้าประเทศ กลับลำมองจีนเป็น “ปัจจัยเสี่ยง”ว่าจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้ง
นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าหลัง “ตรุษจีน”ปีนี้ซึ่งมีการเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวกันมาก คนจีนจะติดเชื้อไวรัสกันมาก ซึ่งจะมีผลบั่นทอนระบบเศรษฐกิจจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แล้วผลกระทบนั้นจะส่งต่อเป็นลูกระนาดไปยังภูมิภาคและต่อโลก
ปี 2564 จีนฟื้นไข้จากโควิด-19 เร็วก่อนใคร เศรษฐกิจจึงขยายตัวถึง 8.1% ปี 2565 ที่ผ่านมา IMF คาดว่ากลับชะลอตัวลงที่ 3.2% ปี 2566 IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 4.4%
สำหรับประเทศไทยเรานักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักเห็นพ้องว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงในด้านการส่งออกที่แม้จะฟื้นตัวขึ้นมาพักหนึ่งแต่ปี 2566 คงไม่ง่ายเพราะการค้าโลกจะหดตัวลง โดยองค์การการค้าโลก (WTO) ประเมินว่าปี 2566 จะโตแค่ 1% จากปี 2565 ที่โต 3.5% ส่วนหนึ่งเพราะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่จบง่ายๆเมื่อโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศสนับสนุนงบประมาณให้ประธานาธิบดี โวโลดีมีร์ เซเรนสกี้ แห่งยูเครน สู้ต่อแม้จะไม่มีวันชนะ
ในด้านไทย-จีน ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อไทยนั้น ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีนมองว่า มิติด้านเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวก็เป็นกลไกที่สำคัญ ช่วงก่อนโควิด ประเทศไทยพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวจีนค่อนข้างสูง ดังนั้นถ้าปี2566นักท่องเที่ยวจีนกลับมาได้ 7-8 ล้านคนจากที่เคยมา 10 ล้านคน เศรษฐกิจไทยก็จะได้รับประโยชน์อย่างมาก
“มีสัญญาณเชิงบวกจากการลงทุนจีนว่าจะขยายการลงทุนเข้ามาที่ประเทศไทยค่อนข้างมาก เพราะคณะที่จะเข้ามาหลายๆมณฑลเข้ามาเป็นกลุ่มนักธุรกิจ สนใจเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรม อยากพูดคุยกับสถาบันการเงิน เพื่อเตรียมขยายการลงทุนเข้ามาที่ประเทศไทย”
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ไทยฟื้นหรือฟุบต่อไปคือ “ภาคการเมือง” ซึ่งประชาชนคนไทยหมดศรัทธานักการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เพราะเห็นถึงพฤติกรรมในการแย่งชิงอำนาจการเมืองเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายตนและพวกพ้อง มากกว่าการทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน
นอกจากนี้ยังมีภาพของการทุจริตคอรัปชั่นในวงราชการที่ผูกโยงกับการเมือง ที่ตอนนี้ลามระบาดหนักแบบไม่อายสายตาประชาชนเจ้าของประเทศ อาทิวงการตำรวจที่เคยหารายได้พิเศษจากการตั้งด่านรีดไถรถผิดกฎจราจร รับส่วยบ่อนการพนัน ส่วยหวยใต้ดิน ยาเสพติด ต่างด้าวเข้าเมือง ฯลฯ ปัจจุบันยกระดับมาสนับสนุน “นายทุนจีน” เข้ามาทำธุรกิจสีเทาในแผ่นดินไทย ปล่อยให้มีการฟอกเงินฟอกตัวแปลงสัญชาติร่ำรวยเป็นเศรษฐีพันล้านในเวลาอันรวดเร็ว
ฟากข้าราชการที่กินเงินเดือนประจำแล้วควรจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบบราชการเพื่อขับเคลื่อนประเทศ วันนี้ตัวเล็กทำงานเช้าชามเย็นชาม ตัวใหญ่กินตามน้ำรอลูกน้องส่งส่วย แต่ตัวบิ๊กบางคนใจกล้าหน้าด้านประกาศไม่รับของขวัญของกำนัลทำตัวให้ดูใสสะอาด แต่หลังฉากสั่งลูกน้องจ่ายค่าตำแหน่งพร้อมค่าส่วยรายเดือนจนตกเป็นข่าวฉาวโฉ่
นักการเมืองที่คุมกระทรวงแทนที่จะรีบไล่ออกทันทีเพราะบิ๊กข้าราชการถูกจับคาหนังคาเขาคาซองเงินที่เพิ่งรับไปสดๆร้อนๆ กลับออกคำสั่งโยกจากตำแหน่งไปนั่งตบยุงกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนต่อไปจนกว่าจะถูกตัดสินว่า “ผิดจริง” หรือจนกว่ากระแสจะเงียบ จึงกลายเป็นกรณีศึกษาที่กลบศรัทธาและความคาดหวังในใจประชาชนมากยิ่งขึ้น
แม้จะมีการเลือกตั้งในเวลาอีกไม่นาน แม้จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ต่อให้สร้างผลงานนักท่องเที่ยวทะลัก ต่อให้ GDP พุ่งทะลุเส้น แต่ถ้าพรรคการเมืองยังสมคบกัน “ผูกเสี่ยว” ยังมีการผูกโยงนักการเมืองเลว -ข้าราชการชั่ว -นายทุนสีเทาต่างชาติ เพื่อครองอำนาจและผลประโยชน์ที่มิควรได้แล้วคนไทยจะหวังอะไร ประเทศชาติจะเหลืออะไร