
“ธรรมนัส” ใจถึงจริง ชิงจังหวะลาออก ทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ยอมรับอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว


เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 9 กันยายน ที่รัฐสภา ร.อ.ธรรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงภายหลังการประชุมส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ว่า วันนี้ขอใช้เวทีรัฐสภาแถลงข่าว โดยเป็นเรื่องที่ไม่สบายใจและนอนคิดมาหลายเดือนแล้ว นั่นคือตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เกียรติตั้งเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน 2 ปีกว่า
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ เนื่องจากผมตั้งมั่นมาโดยตลอดว่า หากวันหนึ่งได้มีโอกาสได้มารับใช้ประชาชน ผมยึดมั่นว่าจะทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน โดยยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติและบ้านเมือง แต่ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งมา บรรยากาศการบริหารช่วยราชการแผ่นดินไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ และผมอยากกลับไปอยู่จุดเดิมของผม นั่นคือการเป็นส.ส.เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน”
“ผมต้องการทำงานอื่นที่เข้มแข็งเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองจริงๆ ไม่ใช่มารองรับหรือทำอะไรเพื่อคนบางกลุ่ม ที่ผ่านมาผมปรึกษาครอบครัวมาหลายวันแล้ว โดยได้ข้อยุติว่าผมจะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งได้ลงนามไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (8 กันยายน) และตั้งใจว่าจะยื่นเอกสารตั้งแต่เมื่อวานนี้ (8 กันยายน) แล้ว แต่เลขานุการของผมเข้าใจผิดว่าคิดจะยื่นวันนี้ (9 กันยายน)”
“ท้ายที่สุดแล้วขอแจ้งประชาชนทุกจังหวัดว่าวันนี้ผมตัดสินใจแล้วว่า ผมจะเลือกเส้นทางการเดินของผมใหม่ โดยยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้น ผมขอกราบขอโทษพี่น้องประชาชน ที่วันนี้ผมไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่ผมรับปาก ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะกลับไปตั้งต้นที่ จ.พะเยา ทำงานให้พี่น้องชาวพะเยา และจังหวัดอื่นๆ หากผมกลับไปมีอำนาจอีกครั้ง มีวาสนาอีกครั้ง ผมตั้งมั่นว่าจะทำงานเพื่อบ้านเมือง” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
ในการลาออกครั้งนี้สืบเนื่องมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ก่อนโหวตเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตนได้หารือกับหัวหน้าพรรคพปชร.แล้ว ว่าจะตัดสินใจลาออกตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา แต่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพปชร. ได้ห้ามไว้ ตนก็เชื่อ แต่เมื่อมาไตร่ตรองดูพบว่าทางเดินชีวิตที่จะทำเพื่อประชาชนจะต้องเดินไปอีกไกล จึงตัดสินใจเด็ดขาดด้วยตนเอง
การตัดสินใจครั้งนี้แสดงว่าการพูดคุยและขอโทษนายกฯ ก่อนหน้านี้ ปัญหายังไม่จบใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ยอมรับว่า ไม่จบ เพราะตนไม่สบายใจ จึงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำไป หมายความว่า ถ้าหากพูดด้วยเหตุผลแล้วไม่เกิดประโยชน์ วิธีการที่ดีที่สุด คือก็ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง
ส่วนจะยังอยู่กับพรรคพปชร.ใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ตนต้องคิดต่อไป ตนอาจจะไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่มีความสุข ตนย้ายมาจากบ้านหลังเดิมที่มีความสุขดีอยู่แล้ว ซึ่งบ้านหลังเดิมของตน คือที่ จ.พะเยา
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวด้วยว่า ในส่วนของความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตร ยังเหมือนเดิม ส่วนกับอีกสองคนก็ไม่ได้แตกหัก แต่ตนเลือกเดินเส้นทางของตน ซึ่งอาจจะสร้างบ้านหลังใหม่ ส่วนจะมีคนอื่นไปด้วยหรือไม่ ตนไม่สามารถตอบแทนคนอื่นได้ อย่างไรก็ตาม ตนเป็นส.ส.ต้องให้พรรคขับออก ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ตนจะไปหารือกับ พล.อ.ประวิตร ซึ่งงานของพรรค ตนก็ยังสนับสนุนเหมือนเดิม แต่ก็ต้องคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไรบ้าง เพราะจริงๆ ตนคิดมาหลายเดือนแล้ว สิ่งที่ตนให้ความสำคัญมากที่สุดคือสายตาประชาชน ไม่ใช่คอยรับใช้ใคร โดยหลังจากนี้ ตนจะลดบทบาทในพรรคลง แต่จะลงพื้นที่ด้วยตัวเอง
เสำหรับตำแหน่งเลขาธิการพรรคพปชร.นั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ยังเป็นอยู่ ยังไม่ได้ลาออก แต่หลังจากนี้ตนจะลงพื้นที่ถี่กว่าตอนเป็นรัฐมนตรีและจะลงพื้นที่ในช่วงที่มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป
“ผมไม่ชอบบรรยากาศบ้านเมืองที่มีความแตกแยก และมองไม่เห็นอนาคต ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ ส่วนการบรรยากาศในคณะรัฐมนตรีนั้น ร้ายยิ่งกว่า แต่ผมไม่ขอพูดรายละเอียด เพราะเราออกมาแล้ว สำหรับแรงกระเพื่อมทางการเมืองหลังจากนี้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ยืนยันว่า ไม่ใช่มาจากผม ยืนยันว่า จะไม่ทำอะไรให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย”
ส่วนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลงมติในวาระ 3 วันพรุ่งนี้ (10 กันยายน) นั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนยืนยัน ยังยกมือโหวตสนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตามแนวทางของพรรคพปชร.
ในการที่ตัดสินใจไปอยู่บ้านอื่น มีพรรคเพื่อไทยอยู่ในตัวเลือกด้วยหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า มีพรรคมาจีบเยอะแยะ และไม่เกี่ยวกับกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ อาจจะเป็นพรรคพะเยา หรือพรรคพลังพะเยา หรืออาจจะเป็นอีสานล้านนนาก็ได้ ทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว เร็วๆ นี้จะได้เห็นโฉมหน้าแน่ๆ
และประเด็นพรรคพปชร.จะไม่แตกเลยหรือไม่นั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ก็ไม่แน่ เพราะใจตนไปแล้ว
“ผมพูดแล้วผมนักเลงพอ ทำอะไรแล้วรับผิดชอบ อยู่ที่ไหนก็ได้ขอให้ใจมันอยู่ ใจมันไม่อยู่แล้วมันก็ไม่เอา ใครมาบังคับผมก็ไม่ได้”