![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
ทิศทางจีน 2024 หลังการประชุม 2 สภา
![ทิศทางจีน 2024 หลังการประชุม 2 สภา](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/03/ปลายซอย17-1.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมีการประชุมใหญ่ซึ่งไม่เพียงชาวจีนจะสนใจติดตามข่าวสาร แต่นักการเมืองและสื่อมวลชนทั่วโลกก็ให้ความสำคัญเฝ้าติดตามข้อมูลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติ หรือ CPPCC ในวันที่ 4-10 มีนาคม 2024 และการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ หรือ NPC ในวันที่ 5-11 มีนาคม 2024 ซึ่งชาวจีนเรียกว่าการประชุม 2 สภา หรือ “เหลี่ยงฮุ่ย” ณ มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง
พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย–จีน อธิบายความว่า สภาประชาชนแห่งชาติ หรือ NPC เป็นสภาที่ใหญ่มากเพราะมีสมาชิกมากถึง 2,300 คน จากทั่วประเทศ มีหน้าที่พิจารณาผลงานของรัฐบาลเพื่อเตรียมร่างแผนพัฒนาที่จะดำเนินการต่อไป
ขณะที่สภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติ หรือ CPPCC ก็มีจำนวนสมาชิกเท่าๆกัน แต่หน้าที่บทบาทแตกต่าง จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลโดยเฉพาะการรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา
ความสำคัญของการประชุม 2 สภา ในปีนี้มีอยู่ 4 เรื่อง คือ ระบบนิติธรรม การจ้างงาน ระบบสุขภาพ และการพัฒนาเชิงคุณภาพ
ข้อสังเกตของพล.อ.สุรสิทธิ์ จากการติดตามการประชุมคือ
- เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือGDP ปี 2024 นี้ตั้งเป้าแค่ 5% และไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในด้านเศรษฐกิจ
2. เมื่อก่อนในการแถลงข่าวจีนจะไม่แสดงความแข็งกร้าวต่อสหรัฐอเมริกาโดยเลี่ยงการเอ่ยชื่อสหรัฐอเมริกา แต่ปีนี้มีการเอ่ยชื่อสหรัฐอเมริกา หรือ “เหม่ยกั๋ว” บ่อยครั้งมาก อีกทั้งจีนยังบอกว่าเป็นความสำเร็จทางการทูตของจีนที่สามารถร่วมมือกับอิหร่าน และซาอุดีอาระเบียอย่างเหนียวแน่น ซึ่งมองดูเหมือนเป็นการท้าทายสหรัฐอเมริกาอย่างมาก
3. เรื่องที่จีนเคยให้ความสำคัญในปีก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ เรื่องเอกภาพของมาตุภูมิ เรื่องความสำคัญที่จะต้องอยู่ร่วมกันกับสหรัฐฯ เรื่องอนาคตเศรษฐกิจจีน เรื่องอนาคตของประชาคมที่มีโชคชะตาร่วมกันในที่ประชุม2สภากล่าวน้อยลง แต่ปีนี้ให้น้ำหนักกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีคุณภาพ และการให้ความสำคัญต่อพลังงานใหม่ การสร้างงานใหม่เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่สูงถึง 14%
“สี จิ้นผิง พูดเรื่องประชาธิปไตยแบบพึ่งตนเอง แสดงว่าจะมีการเปิดกว้างทางสังคมมากขึ้น เรื่องเศรษฐกิจจะต้องค้นหาความก้าวหน้าที่แม่นยำ คือจะไม่สะเปะสะปะ จะต้องเจาะลงไปเฉพาะจุด จะสร้างตลาดใหญ่แบบครบวงจร นี่เป็นสัญญาณบอกว่าปัญหาภายในมีเยอะ” พล.อ.สุรสิทธิ์ให้ความเห็น
บลูมเบิร์กประเมินว่า GDP จีนน่าจะโตในระดับ 4.6% เพราะโอกาสที่จะโตด้วยการส่งสินค้าออกไปขายตลาดโลกในขณะที่กำลังซื้อน้อยลงเป็นไปได้ยาก ยิ่งตอนนี้สงครามรัสเซีย–ยูเครน และอิสราเอล–ฮามาส ยังไม่ยุติและกระทบโครงสร้างการผลิต ตลาดแรงงานที่จีนบอกว่าจะสร้างเพิ่มอีก 12 ล้านตำแหน่งก็ยังเป็นเพียงแค่ตัวเลขซึ่งยังไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จและตรงตามความต้องการของคนตกงานแค่ไหน
การที่ผู้นำจีนตัดสินใจใช้นโยบายซีโร่โควิด คิดจะปราบเชื้อโรคให้สาปสูญนั้นส่งผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจให้ไม่เป็นไปตามเป้า ขณะเดียวกันสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีกับสหรัฐก็ส่งผลต่อ เงินลงทุนจากต่างประเทศหดหายไปเกือบ 30% ตัวเลขหนี้จำนวนมหาศาลของรัฐบาลท้องถิ่นที่กู้มาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจนรัฐบาลกลางต้องสั่งหยุด ปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างผลกระทบรุนแรง เหล่านี้คือปัญหาและความท้าทายของรัฐบาลจีน
พล.อ.สุรสิทธิ์ให้ความเห็นในตอนท้ายว่านโยบายฟรีวีซ่าที่จีนเปิดให้กับหลายสิบประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มยุโรปนั้น อาจจะต้องการดึงดูดชาวโลกให้เข้าไปดูข้อเท็จจริงในจีนว่าไม่ได้แย่อย่างที่สื่อตะวันตกใส่สีตีไข่กันเอาไว้ก็เป็นได้
ผู้เชี่ยวชาญจีนอีกท่านที่ติดตามการประชุม 2 สภาของจีนคือ ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน มองว่า การประชุม 2 สภาคือการประชุมคณะกรรมการขั้นสูงของจีน ที่มีสคริปท์ชัดเจน ถูกกำหนดล่วงหน้าแม้กระทั่งตัวบุคคลที่จะขึ้นกล่าว
การประชุมปีนี้เน้นเรื่องการพัฒนาคุณภาพสูงที่จีนจะต้องให้ความสำคัญเรื่องเสถียรภาพ มากกว่าการการเปิดกว้างและการปฏิรูป สะท้อนว่าจีนเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่นการรักษาทรงของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาให้เป็นมิติเชิงคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง
การพูดคุยติดตามการดำเนินงานตามแผน 5 ปี ฉบับที่ใช้อยู่ขณะนี้คือฉบับที่ 14 (2024-2025) ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรและอีก 2 ปีที่เหลือจะมีทิศทางการพัฒนาอย่างไร อะไรคือภารกิจสำคัญ อีกเรื่องคือการพัฒนาจีนให้มีความทันสมัยแบบที่เป็นอัตลักษณ์จีน ไม่ใช่ตามกระแสโลกโดยไม่มีทิศทาง แต่ยังคงรักษาอารยธรรมความเป็นจีน มีกระบวนการ ขั้นตอน มาตรการอะไรบ้างที่จีนควรเดินหน้า
ประเด็นสำคัญคือเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งที่ประชุม 2 สภารับฟังรายงานและให้ข้อคิดเห็นว่าการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ 5% จะต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งปกติจีนไม่ค่อยพลาดเป้า อาจจะเพราะองคาพยพทางเศรษฐกิจนั้นกว่าครึ่งอยู่ในมือของรัฐบาล จึงสามารถใช้กลไก เครื่องมือ และอำนาจที่มีอยู่ในการผลักดันขับเคลื่อนให้เติบโตตามเป้าหรือให้สูงกว่าเป้า
คนที่มองในแง่ลบก็อาจจะบอกว่ารัฐบาลจีนสามารถตกแต่งบัญชีได้ เช่นปี 2023 จีนตั้งเป้าไว้ 5% แต่ประกาศ 5.2% ซึ่งสื่อตะวันตกวิจารณ์ว่าสภาพเศรษฐกิจจีนเหมือนโตแค่ 1.5% แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในภาพในทรงของทิศทางการเติบโตแน่นอนว่าจีนมีความชัดเจน เช่น การจ้างงานในเมืองจะต้องสร้างตำแหน่งงานใหม่ 12 ล้านตำแหน่ง จากปกติ 10-11 ล้านตำแหน่ง
ถัดมารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการลงทุนให้เพิ่มมากขึ้นในส่วนของภาคเอกชน ในส่วนของรัฐนั้นดำเนินการอยู่แล้ว เช่นในปีที่แล้วมีการประกาศขายพันธบัตรรัฐบาล 1 ล้านล้านหยวน โดย 5 แสนล้านหยวนให้ใช้ในไตรมาส 4 ของปี 2023 อีก 5 แสนล้านหยวนใช้ในไตรมาส 1 ของปี 2024 ขณะที่งบประมาณปีนี้ตั้งไว้ขาดดุล 3% ของGDP ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิชาการด้านตะวันตกคาดไว้ว่าจีนจะตั้งเป้าขาดดุลงบประมาณถึง 6% ต่อGDP
“อีกส่วนที่สำคัญและต่อเนื่องกันมาคือจีนจะต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยอาศัยภาคการบริโภคภายในประเทศ ต้องให้คนในประเทศมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น การซื้อขายทั่วไป การท่องเที่ยวของคนจีนภายในประเทศ รวมถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าไปท่องเที่ยวและใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ต่อระบบการค้าและภาคบริการของจีน”ดร.ไพจิตรกล่าว
โดยสรุปแล้วหลังประชุม2สภาสะท้อนอะไร เป้าหมาย 5% ถือว่าสูงมากสำหรับชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ2ของโลก ขณะเดียวกันทำให้เห็นว่าจีนยังมีปัญหาภายในอยู่มาก จีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเปิดฟรีวีซ่าฝ่ายเดียวแก่ประเทศในยุโรปอีก 6 ประเทศ ต้องการดึงเงินนักท่องเที่ยว ดึงเงินลงทุนต่างประเทศ เพราะเห็นแล้วว่าโอกาสจะโตอย่างในอดีตเป็นโรงงานโลก ปั๊มสินค้าราคาถูกออกขายตลาดโลกสูบเงินกลับประเทศคงไม่มีโอกาสเหมือนเดิมอีกต่อไป