Digiqole ad

ทิศทางจีน 2024 หลังการประชุม 2 สภา

 ทิศทางจีน 2024 หลังการประชุม 2 สภา
Social sharing

Digiqole ad

          ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมีการประชุมใหญ่ซึ่งไม่เพียงชาวจีนจะสนใจติดตามข่าวสาร  แต่นักการเมืองและสื่อมวลชนทั่วโลกก็ให้ความสำคัญเฝ้าติดตามข้อมูลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน  นั่นคือการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติ หรือ CPPCC ในวันที่ 4-10 มีนาคม 2024  และการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ หรือ NPC ในวันที่ 5-11 มีนาคม 2024  ซึ่งชาวจีนเรียกว่าการประชุม 2 สภา หรือเหลี่ยงฮุ่ยณ มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง

          พล..สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทยจีน อธิบายความว่า  สภาประชาชนแห่งชาติ หรือ NPC เป็นสภาที่ใหญ่มากเพราะมีสมาชิกมากถึง 2,300 คน จากทั่วประเทศ  มีหน้าที่พิจารณาผลงานของรัฐบาลเพื่อเตรียมร่างแผนพัฒนาที่จะดำเนินการต่อไป

          ขณะที่สภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติ หรือ CPPCC ก็มีจำนวนสมาชิกเท่าๆกัน  แต่หน้าที่บทบาทแตกต่าง  จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลโดยเฉพาะการรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา

          ความสำคัญของการประชุม 2 สภา ในปีนี้มีอยู่ 4 เรื่อง  คือ ระบบนิติธรรม  การจ้างงาน  ระบบสุขภาพ และการพัฒนาเชิงคุณภาพ

          ข้อสังเกตของพล..สุรสิทธิ์ จากการติดตามการประชุมคือ

  1. เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือGDP ปี 2024 นี้ตั้งเป้าแค่ 5% และไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในด้านเศรษฐกิจ

      2. เมื่อก่อนในการแถลงข่าวจีนจะไม่แสดงความแข็งกร้าวต่อสหรัฐอเมริกาโดยเลี่ยงการเอ่ยชื่อสหรัฐอเมริกา  แต่ปีนี้มีการเอ่ยชื่อสหรัฐอเมริกา หรือเหม่ยกั๋วบ่อยครั้งมาก  อีกทั้งจีนยังบอกว่าเป็นความสำเร็จทางการทูตของจีนที่สามารถร่วมมือกับอิหร่าน  และซาอุดีอาระเบียอย่างเหนียวแน่น  ซึ่งมองดูเหมือนเป็นการท้าทายสหรัฐอเมริกาอย่างมาก

        3. เรื่องที่จีนเคยให้ความสำคัญในปีก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ  เรื่องเอกภาพของมาตุภูมิ  เรื่องความสำคัญที่จะต้องอยู่ร่วมกันกับสหรัฐฯ  เรื่องอนาคตเศรษฐกิจจีน  เรื่องอนาคตของประชาคมที่มีโชคชะตาร่วมกันในที่ประชุม2สภากล่าวน้อยลง   แต่ปีนี้ให้น้ำหนักกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีคุณภาพ  และการให้ความสำคัญต่อพลังงานใหม่  การสร้างงานใหม่เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่สูงถึง 14%  

          สี จิ้นผิง พูดเรื่องประชาธิปไตยแบบพึ่งตนเอง  แสดงว่าจะมีการเปิดกว้างทางสังคมมากขึ้น  เรื่องเศรษฐกิจจะต้องค้นหาความก้าวหน้าที่แม่นยำ  คือจะไม่สะเปะสะปะ  จะต้องเจาะลงไปเฉพาะจุด  จะสร้างตลาดใหญ่แบบครบวงจร  นี่เป็นสัญญาณบอกว่าปัญหาภายในมีเยอะพล..สุรสิทธิ์ให้ความเห็น  

          บลูมเบิร์กประเมินว่า GDP จีนน่าจะโตในระดับ 4.6%  เพราะโอกาสที่จะโตด้วยการส่งสินค้าออกไปขายตลาดโลกในขณะที่กำลังซื้อน้อยลงเป็นไปได้ยาก  ยิ่งตอนนี้สงครามรัสเซียยูเครน และอิสราเอลฮามาส ยังไม่ยุติและกระทบโครงสร้างการผลิต  ตลาดแรงงานที่จีนบอกว่าจะสร้างเพิ่มอีก 12 ล้านตำแหน่งก็ยังเป็นเพียงแค่ตัวเลขซึ่งยังไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จและตรงตามความต้องการของคนตกงานแค่ไหน

          การที่ผู้นำจีนตัดสินใจใช้นโยบายซีโร่โควิด  คิดจะปราบเชื้อโรคให้สาปสูญนั้นส่งผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจให้ไม่เป็นไปตามเป้า  ขณะเดียวกันสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีกับสหรัฐก็ส่งผลต่อ เงินลงทุนจากต่างประเทศหดหายไปเกือบ 30%   ตัวเลขหนี้จำนวนมหาศาลของรัฐบาลท้องถิ่นที่กู้มาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจนรัฐบาลกลางต้องสั่งหยุด  ปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างผลกระทบรุนแรง  เหล่านี้คือปัญหาและความท้าทายของรัฐบาลจีน      

          พล..สุรสิทธิ์ให้ความเห็นในตอนท้ายว่านโยบายฟรีวีซ่าที่จีนเปิดให้กับหลายสิบประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มยุโรปนั้น  อาจจะต้องการดึงดูดชาวโลกให้เข้าไปดูข้อเท็จจริงในจีนว่าไม่ได้แย่อย่างที่สื่อตะวันตกใส่สีตีไข่กันเอาไว้ก็เป็นได้  

          ผู้เชี่ยวชาญจีนอีกท่านที่ติดตามการประชุม 2 สภาของจีนคือ ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน มองว่า การประชุม 2 สภาคือการประชุมคณะกรรมการขั้นสูงของจีน  ที่มีสคริปท์ชัดเจน  ถูกกำหนดล่วงหน้าแม้กระทั่งตัวบุคคลที่จะขึ้นกล่าว

          การประชุมปีนี้เน้นเรื่องการพัฒนาคุณภาพสูงที่จีนจะต้องให้ความสำคัญเรื่องเสถียรภาพ  มากกว่าการการเปิดกว้างและการปฏิรูป  สะท้อนว่าจีนเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน  เช่นการรักษาทรงของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาให้เป็นมิติเชิงคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง  

          การพูดคุยติดตามการดำเนินงานตามแผน 5 ปี ฉบับที่ใช้อยู่ขณะนี้คือฉบับที่ 14 (2024-2025) ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรและอีก 2 ปีที่เหลือจะมีทิศทางการพัฒนาอย่างไร  อะไรคือภารกิจสำคัญ   อีกเรื่องคือการพัฒนาจีนให้มีความทันสมัยแบบที่เป็นอัตลักษณ์จีน  ไม่ใช่ตามกระแสโลกโดยไม่มีทิศทาง  แต่ยังคงรักษาอารยธรรมความเป็นจีน  มีกระบวนการ ขั้นตอน มาตรการอะไรบ้างที่จีนควรเดินหน้า

          ประเด็นสำคัญคือเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งที่ประชุม 2 สภารับฟังรายงานและให้ข้อคิดเห็นว่าการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ 5% จะต้องทำอะไรบ้าง  ซึ่งปกติจีนไม่ค่อยพลาดเป้า  อาจจะเพราะองคาพยพทางเศรษฐกิจนั้นกว่าครึ่งอยู่ในมือของรัฐบาล  จึงสามารถใช้กลไก เครื่องมือ และอำนาจที่มีอยู่ในการผลักดันขับเคลื่อนให้เติบโตตามเป้าหรือให้สูงกว่าเป้า    

          คนที่มองในแง่ลบก็อาจจะบอกว่ารัฐบาลจีนสามารถตกแต่งบัญชีได้  เช่นปี 2023 จีนตั้งเป้าไว้ 5% แต่ประกาศ 5.2% ซึ่งสื่อตะวันตกวิจารณ์ว่าสภาพเศรษฐกิจจีนเหมือนโตแค่ 1.5%  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในภาพในทรงของทิศทางการเติบโตแน่นอนว่าจีนมีความชัดเจน  เช่น การจ้างงานในเมืองจะต้องสร้างตำแหน่งงานใหม่ 12 ล้านตำแหน่ง จากปกติ 10-11 ล้านตำแหน่ง

          ถัดมารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการลงทุนให้เพิ่มมากขึ้นในส่วนของภาคเอกชน  ในส่วนของรัฐนั้นดำเนินการอยู่แล้ว เช่นในปีที่แล้วมีการประกาศขายพันธบัตรรัฐบาล 1 ล้านล้านหยวน  โดย 5 แสนล้านหยวนให้ใช้ในไตรมาส 4 ของปี 2023   อีก 5 แสนล้านหยวนใช้ในไตรมาส 1 ของปี 2024  ขณะที่งบประมาณปีนี้ตั้งไว้ขาดดุล 3% ของGDP ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิชาการด้านตะวันตกคาดไว้ว่าจีนจะตั้งเป้าขาดดุลงบประมาณถึง 6% ต่อGDP

          อีกส่วนที่สำคัญและต่อเนื่องกันมาคือจีนจะต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยอาศัยภาคการบริโภคภายในประเทศ  ต้องให้คนในประเทศมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น  การซื้อขายทั่วไป  การท่องเที่ยวของคนจีนภายในประเทศ  รวมถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าไปท่องเที่ยวและใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ต่อระบบการค้าและภาคบริการของจีนดร.ไพจิตรกล่าว

           โดยสรุปแล้วหลังประชุม2สภาสะท้อนอะไร  เป้าหมาย 5% ถือว่าสูงมากสำหรับชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ2ของโลก  ขณะเดียวกันทำให้เห็นว่าจีนยังมีปัญหาภายในอยู่มาก  จีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเปิดฟรีวีซ่าฝ่ายเดียวแก่ประเทศในยุโรปอีก 6 ประเทศ  ต้องการดึงเงินนักท่องเที่ยว  ดึงเงินลงทุนต่างประเทศ  เพราะเห็นแล้วว่าโอกาสจะโตอย่างในอดีตเป็นโรงงานโลก ปั๊มสินค้าราคาถูกออกขายตลาดโลกสูบเงินกลับประเทศคงไม่มีโอกาสเหมือนเดิมอีกต่อไป

Facebook Comments


Social sharing

Related post