Digiqole ad

  ตำแหลก…ตำรวจ

   ตำแหลก…ตำรวจ
Social sharing

Digiqole ad

          คนต่างชาติอยู่บ้านเขากลัวผู้ร้าย  แต่มาเมืองไทยต้องระวังตำรวจ  เพราะวันนี้คนทั่วโลกคงรับรู้แล้วว่าตำรวจไทยมีรายได้ไม่พอกินจนต้องหาจ๊อบพิเศษเพื่อประทังชีวิต  

          จากคดีตู้ห่าวนายทุนจีนที่แปลงร่างเป็นคนไทย  มีเมียเป็นตำรวจหญิงไทย  อาศัยบารมีหลานสาวและหลานเขยอดีตนายตำรวจใหญ่ที่เชื่อมโยงการเมือง  จึงสามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจสีเทามูลค่าหลายพันล้านบาทและอิทธิพลเหนือกฎหมาย  

         แต่เมื่อล้ำเส้นจนมีคนตายและกลายเป็นข่าวที่ปิดไม่มิด  อาณาจักรสีเทาถูกเปิดโปงเจอข้อหาหลายคดี  กลับพบว่ามี  นอกจากเมียตู้ห่าวที่ร่วมฟอกเงินแล้วยังมีตำรวจอีกหลายคนหลายระดับเกี่ยวข้องในการเรียกรับสินบน

          คดีตู้ห่าวกับกลุ่มทุนจีนสีเทาทำให้ตำรวจขยายผลหวังทลายเครือข่าย  แต่ทำไปทำมากลับกลายเป็นกรณีอื้อฉาวในวงการสีกากี   เมื่อชุดบุกจับซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)  ตำรวจ 191  ทหาร และล่ามแปลภาษา   ร่วมกันอมเงินสดของกลางและเรียกรับผลประโยชน์เพิ่มรวมเกือบ 10 ล้านบาท  แลกกับการหลับตาปล่อยตัวชาวจีนแก๊งปลอมวีซ่า 11 คน ให้หลบหนีออกนอกประเทศไปได้

           คดีนี้มีผลถึงการเด้งอธิบดีDSI  แต่ดันแค่ย้ายไปนั่งสลับเก้าอี้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์  เลยทำให้คุณหญิงหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์   ออกมาโวยถึงการย้ายคนมีปัญหามานั่งคุมองค์กรที่ต้องการความโปร่งใส

          สองคดีดังที่อยู่ในระหว่างการดำเนินคดีถูกแทรกด้วยคลิปรีวิวของนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนที่เรียกใช้บริการ VVIP จากตำรวจไทยว่า  เชื่อแล้วว่าเมื่อมีเงินจ่ายก็จะได้บริการสุดพิเศษเข้าประเทศไทย  มีตำรวจรอรับหน้าประตูเครื่องบิน  รับกระเป๋า ผ่านด่านตม.อย่างรวดเร็ว  ขึ้นรถยนต์ มีรถจักรยานยนต์ตำรวจนำขบวนถึงที่พักอย่างรวดเร็วฉับไว

         แรกๆผู้บังคับบัญชาก็แถว่าใช้รถยนต์ส่วนตัว  ทำงานนอกเวลา  แต่เพราะมิใช่การถอดเครื่องแบบตำรวจไปขับแท็กซี่  ไปขับแกร็ป  ไปขี่วินมอเตอร์ไซต์ ที่น่าได้เสียงชื่นชมว่าหากินสุจริต  ภาพจากวิดีโอมันฟ้องว่ายังสวมเครื่องแบบตำรวจ  มีรถตราโล่ชัดเจน  ตำรวจ 4 นายเลยโดนลงโทษหนัก  และผบ.ตร.บอกว่าจะวางมาตรการห้ามทำเช่นนี้อีกในอนาคต

          จากคลิปสาวจีนมาถึงดาราสาวไต้หวันอัน หยูชิงที่คราวนี้กลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ทั่วโลก  เมื่อมีการแฉว่ามาเที่ยวไทยแล้วถูกกรณีตำรวจไทยตั้งด่านรีดทรัพย์ 27,000 บาท ยัดข้อหามีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง

          พอเป็นข่าวแทนที่จะรีบพิสูจน์ความจริงให้กระจ่างอย่างตรงไปตรงมา  ผู้บังคับบัญชากลับรีบปกป้อง  ปฏิเสธว่าไม่มีการรีดทรัพย์  พยายามหาหลักฐานมาตีกลับและทำลายความน่าเชื่อถือในข้อกล่าวหาของผู้เสียหายว่าเที่ยวผับเมา  พกบุหรี่ไฟฟ้าจริง  สร้างความคลุมเครือต่อสังคมไทย

          แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายเมื่อสื่อมวลชนและอดีตนักการเมืองดังอย่างชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ร่วมค้นหาความจริง  จนในที่สุดผู้บัญชาการตำรวจนครบาลต้องกลืนน้ำลายกลับลำมายอมรับว่าลูกน้องมีพฤติกรรมจริง  

          กระนั้นก็ตามในเอกสารแถลงข่าวที่เป็นลายลักษณ์อักษรยังเบี่ยงเบนประเด็นว่า  ผู้เสียหายเป็นผู้ให้สินบน  ส่วนแก๊งตำรวจที่ข่มขู่รีดทรัพย์กลายเป็นผู้รับสินบน  กลุ่มคนที่ทำความผิดยิ่งใหญ่ที่ทำลายชื่อเสียงประเทศสร้างความอับอายแก่คนไทยทั้งชาติ  สมควรรับโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตตามมาตรา 149 ของกฎหมายอาญา  แต่ผู้บังคับบัญชาเลือกใช้มาตรา 157 แค่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่  คุกแค่ 1-10 ปี

          แม้จะมีคำสั่งย้ายผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง  เข้าศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 แล้วก็ตาม  แต่อดีตนายตำรวจใหญ่น้ำดีท่านอื่นให้ความเห็นว่า  ก็แค่ย้ายแต่มิใช่การลงโทษใดๆ

          ความวัวยังไม่ทันหาย  ความควายก็เข้ามาแทรก  เมื่อมีข่าวจากกลุ่มไกด์ทัวร์จีนแจ้งเตือนกันว่าให้ระวังลูกทัวร์ถูกตำรวจพัทยารีดทรัพย์จากบุหรี่ไฟฟ้า  เพราะที่เมืองพัทยาถูกเรียก 6 หมื่นบาท  ต่อรองเหลือ 3 หมื่นบาท

          งามไส้จริงๆตำรวจไทย

          นี่ยังไม่รวมข่าวตำรวจภูเก็ตรีดเงินล้านจากนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบียกรณียาเสพติด  ซึ่งกำลังพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันอยู่  

          บุหรี่ไฟฟ้าที่ตำรวจไทยกำลังใช้เป็นเครื่องมือรีดทรัพย์นักท่องเที่ยวต่างชาติในขณะนี้  ถูกประกาศให้เป็นของผิดกฎหมาย ห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่ายหรือบริการ  ตั้งแต่ ปี 2557 ยุคคสช.ทำรัฐประหาร  และ ฝ่ายสาธารณสุขของไทยก็สนับสนุน  แม้ว่าจะมีหลายประเทศยอมรับเป็นสิ่งถูกกฎหมาย เป็นนวัตกรรมที่ลดการสูบบุหรี่จริง

          แต่ความไม่ชัดเจนว่าผู้มีไว้ในครอบครอง  หรือผู้สูบมีโทษหนักเบาอย่างไร  ประกอบกับการไม่ทำการประชาสัมพันธ์ต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย  จึงกลายเป็นโอกาสเบ้อเริ่มเทิ่มให้คนในเครื่องแบบถือกฎหมายและพกปืนจ้องข่มขู่รีดทรัพย์หรือน่าจะใช้คำว่ากรรโชกทรัพย์

          รัฐบาลบอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นของผิดกฎหมายแต่ยังปล่อยให้วางขายเกลื่อนตลาดโดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชอบเดิน    ถามว่าวางขายริมถนนได้ยังไงถ้าไม่จ่ายส่วย   หรือปล่อยให้ขายแล้วสายของตำรวจก็คอยแจ้งเบาะแสให้จับคนซื้อที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

          วันนี้ภาพพจน์ตำรวจไทยกลายเป็น “ผู้ร้ายในเครื่องแบบ”  แทนที่จะปราบปรามอาชญากรกลับมาสร้างอาชญากรรมเสียเอง

          นายตำรวจใหญ่บางคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติยอมรับว่าในดีก็มีเลว  จะเหมารวมว่าตำรวจทั้งหมด 220,000 นายเลวหมดก็ไม่ได้                             

           คนระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกว่า นิ้วไหนไม่ดีก็ต้องตัดทิ้ง  หากตัดกันจริงๆทั้งนิ้วมือแล้วนิ้วเท้าคงไม่เหลือ กลายเป็นไอ้ด้วนกันไปทั้งประเทศกระมัง

          8 ปีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่คณะผู้ทำรัฐประหารประกาศว่าจะทำการปฏิรูปนั้นช่างเห็นผลงานจริงๆ  ช่วงแรกคือเครื่องมือของคสช.ที่ทำหน้าที่จับผู้ต่อต้านเผด็จการเข้าคุก   

          ช่วงปี 2561-2565 สตช.จัดซื้ออาวุธปืนมากถึงประมาณ 80,000 กระบอก  มีทั้งปืนเล็กสั้น ปืนเล็กยาว ปืนกลมือ  ขณะที่หน่วยควบคุมฝูงชน ก็จัดซื้ออุปกรณ์ควบคุมฝูงชน  ลวดสนามหีบเพลง  โล่ใส  กระบองยาง  ปืนและกระสุนยาง  เครื่องรบกวนสัญญาณคลื่นวิทยุ  รถปืนฉีดน้ำแรงดันสูง  ฯลฯ

         งบประมาณที่เสียไปเหล่านี้ไม่สามารถลดปัญหาอาชญากรรม  การปล้นจี้รายวัน  ยาเสพติดระบาด  นักโทษแน่นคุก  แต่กลับสร้างความรุนแรงต่อประชาชนเพิ่มมากขึ้น

          น่าเห็นใจตำรวจไทยลำบากมาก  รายได้น้อย รายจ่ายมาก  ตำรวจชั้นผู้น้อยถูกนายอมเบี้ยเลี้ยง  พวกที่อยากเติบโตก็ต้องหาเงินจ่ายค่าตำแหน่ง  เลยต้องหาจ๊อบพิเศษสารพัดในการสร้างรายได้เสริม

           เย้!  ข่าวดีปีนี้เขาว่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะกลับมาเยือนไทยประมาณ 25-28 ล้านคน  เงินจะสะพัดถึง 2 ล้านล้านบาท  

           เฮ้ ! อัน หยูชิง นายตำรวจไทยขอโทษคุณแล้วนะ  ขอให้กลับมาเที่ยวไทย  คราวหน้าจะจัดการต้อนรับแบบ  VVVVIP เลย  

Facebook Comments


Social sharing

Related post