Digiqole ad

ชัยชนะของ “ก้าวไกล” กระแสไม่แพ้กระสุน

 ชัยชนะของ “ก้าวไกล” กระแสไม่แพ้กระสุน
Social sharing

Digiqole ad

          จากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(..) 52 ที่นั่งกลายเป็น 152 ที่นั่งหลังนับคะแนนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566  คืออีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองยุคใหม่ที่ได้รับการบันทึกไว้แล้วว่าเป็นผลงานการเมืองของพรรคก้าวไกลที่มีอายุเพียงไม่กี่ปี  แต่สามารถหักปากกาเซียน โค่นทุกโพล ล้มแชมป์เอาชนะพรรคคู่ต่อสู้ที่มีทั้งตัวบุคคลระดับเขี้ยวลากดินและทุนมหาศาล  เพราะสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่ากระแสไม่แพ้กระสุน  

         พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล  เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนเปิดแคมเปญ ก้าวไกลทั้งแผ่นดินเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2565 ว่า  ในเชิงปริมาณเราต้องการจำนวนส.ส.เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 52 ที่นั่ง  ต้องมีส.ส.เขตให้มากที่สุดครอบคลุมถึงทุกภูมิภาครวมถึงภาคใต้ซึ่งส่วนใหญ่พรรคฝ่ายค้านจะทำพื้นที่ได้ยาก  เราจึงต้องกลับมาทบทวนว่าพรรคจะต้องทำอะไรใหม่บ้าง

          แผนการเลือกตั้ง ต้องกำหนดพื้นที่เป้าหมาย เช่นการป้องกันแชมป์  การหาทางเอาชนะพื้นที่ที่เคยแพ้การเลือกตั้งเพียงเล็กน้อย  พื้นที่ที่มีคะแนนพื้นฐานเกินค่าเฉลี่ย 2 หมื่นคะแนน

         สุดท้ายคือการกลับมาปฏิรูปตัวเอง 3 เรื่องคือ คน นโยบาย และพรรค  มิติของคนต้องเตรียมตัวให้ดีกว่าเดิมเพราะถูกประชาชนถามเรื่อง งูเห่าเยอะ  ต้องปรับปรุงกระบวนการคัดสรรคน  การสัมภาษณ์  การทดลองทำงาน  ตรวจสอบประวัติก่อนจะส่งชิงผู้แทน  เรื่องนโยบายไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างโครงสร้างกับปากท้อง  ต้องเป็นนโยบายที่เป็นเรื่องเดียวกันและเราต้องแก้ปากท้องก่อน  ส่วนเรื่องพรรค คือต้องระดมสมองระหว่างประชาชนกับพรรค

         พรรคก้าวไกลมาไกล  แต่สิ่งที่พาเรามาจากอดีตถึงปัจจุบันไม่อาจพาเราไปสู่อนาคตอันใกล้ได้  ต้องมีการปรับโฉมใหม่ของพรรคทั้งด้านนโยบาย  การสื่อสาร การเข้าหาสื่อ  การลงพื้นที่  การทำหน้าที่ในสภา  การระดมทุน  การเอาอาสาสมัครเข้ามาช่วย  เหล่านี้เป็นมิติที่ต้องปฏิรูปพรรคในหลายๆรูปแบบ                

          จุดยืนของพรรคคือการสรรหาฉันทามติใหม่ร่วมกัน  ไม่เปลี่ยนไปแบบสุดโต่งและไม่อยู่กับที่  เราต้องการให้ประเทศไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัติย์เป็นองค์พระประมุข  อยู่เหนือประชาธิปไตยแต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  

         “พรรคก้าวไกลไม่ดูถูกประชาชนกลุ่มใด  เรามั่นใจคนรุ่นใหม่แต่ก็ไม่ประมาท  ยุคสมัยนี้ไม่มีของตายว่าเอาเสาไฟฟ้าลงก็ยังชนะ  หรือคนกลุ่มนี้ยังไงก็เลือกพรรคนี้ไม่มีเปลี่ยน  ยุคนี้อะไรก็ลื่นไหลได้ตลอด  ถ้าเราทำได้ดีเราก็มั่นใจว่าจะเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่  เป็นผู้นำที่สามารถจะดึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่มาร่วมกันพัฒนาประเทศได้  แต่เราไม่ประมาทที่จะทำให้เขาผิดหวังแล้วหันไปหาพรรคการเมืองอื่น”  

          นี่คือคำพูดของพิธา เมื่อ 10 เดือนก่อน  และตอนนี้เขากำลังจะก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยด้วยวัยเพียง 42 ปี

          พรรคก้าวไกลมีภาพของคนหนุ่มสาว  แฟนคลับหรือ FC เป็นคนรุ่นใหม่จึงนิยมชมชอบและเป็นฐานคะแนนก็จริง  แต่ 14 ล้านเสียงที่ได้มาเที่ยวนี้  มาจากคนทุกกลุ่มทั้งรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง  

          แนวนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆที่คุ้นชินกับเรื่องประชานิยม  แข่งกันเสนอจนเปรอะ  แต่ของพรรคก้าวไกลมีความแตกต่างเช่นแก้ไขการผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่  และกล้าที่จะแตะในบางเรื่องที่คนอื่นไม่กล้า  อาทิ การเลิกเกณฑ์ทหาร  การเสนอแก้ไขมาตรา 112  จนถูกพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมหยิบเอามาใช้โจมตีว่าจ้องจะ “ล้มสถาบัน”  

           การปรับยุทธศาสตร์ทางการเมืองนอกจากพรรคก้าวไกลสามารถยึดเมืองหลวง  กวาด 32 เขตจาก 33 เขต ของกรุงเทพมหานครแล้ว  ยังบุกตีหัวเมืองหรือพื้นที่ของบรรดาบ้านใหญ่ผู้เคยมีอิทธิพลทางการเมืองยึดครองเก้าอี้ส..มายาวนานจนดูเหมือน ตำแหน่งนี้ได้รับการผูกขาดให้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลดัง   แต่เที่ยวนี้ทั่วทุกภาคหลายจังหวัดหลายพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลง  การออกมาใช้สิทธิใช้เสียงทำให้การเมืองสามารถเป็นเรื่องของคนธรรมดาโดยไม่จำเป็นต้องใช้อิทธิพลหรือเงินในการซื้อเสียง

          การที่พรรคเพื่อไทยเสียแชมป์ไปแบบฉิวเฉียดทั้งๆที่ทำแคมเปญแลนด์สไลด์ลุงโทนี่จากแดนไกลบอกว่าเจอไอโอหรือปฏิบัติการด้านข่าวสาร หรือการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ทำให้พรรคเพื่อไทยเสียคะแนนเสียง  แต่ความจริงนั้นเกิดจากผู้นำของพรรคเพื่อไทยเองที่แสดงอาการยึกยักหวังแทงกั๊ก ไม่ประกาศจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจนว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับพรรคลุงป้อม  เพราะมีกระแสทักษิณจะกลับบ้าน  ในขณะที่พรรคก้าวไกลประกาศชัดเจนว่ามีลุงไม่มีเรา  มีเราไม่มีลุงตรงใจฐานเสียงคนรุ่นใหม่ที่ชอบความชัดเจน

          ก่อนเลือกตั้งมีข้อสงสัย และหลังเลือกตั้งก็ยังสงสัยกันว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐของลุงป้อมพล..ประวิตร วงษ์สุวรรณ  ที่เพิ่งยกนโยบายปรองดองเสมือนจะเปิดทางให้ใครบางคนได้กลับบ้าน  

          โซเชียลมีเดียยุคนี้พิสูจน์ให้เห็นมาเยอะแล้วว่าสามารถทำให้คนบางคนดังหรือดับได้ภายในชั่วข้ามคืนซึ่งพรรคก้าวไกลสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์กับการสร้างคะแนนนิยม  ขณะเดียวกันFCของก้าวไกลได้กลายเป็นหัวคะแนนออแกนิคทั้งด้วยการส่งต่อหรือสร้างข่าวสารผ่านทางโซเชียลมีเดีย

          ภาพการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายของแต่ละพรรคการเมืองในวันที่ 12 พฤษภาคมนั้น เทียบกันแล้วพรรคก้าวไกลทำได้เหนือกว่า ดีกว่าทุกพรรค  ทั้งที่อาคารกีฬาเวสน์ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ  และการตัดต่อเป็นคลิปที่กลายเป็นไวรัลเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย          

          เวทีดีเบต  ที่เที่ยวนี้จัดขึ้นมากมายหลายเวทีพร้อมๆกับการเผยแพร่ผ่านสื่อสาธารณะมีผลต่อภาพลักษณ์ของแต่ละพรรคการเมืองซึ่งพรรคก้าวไกลสามารถช่วงชิงคะแนนนิยมได้มาก  เพราะพรรคก้าวไกลมีทั้งผู้สมัครส.. และผู้ช่วยหาเสียงจากคณะก้าวหน้า ที่พูดเก่ง ฉะฉาน ทำการบ้านมาดี  ไปขึ้นเวทีชี้แจงนโยบาย แสดงวิสัยทัศน์ และปะทะคารมแบบไม่แพ้ใคร  เทียบกับบางพรรคที่ส่งคนเดียวไปทุกเวที  บางพรรคหัวหน้าไม่กล้าร่วมเวทีดีเบต  บางพรรคเอาแต่ด่าคนอื่นจนไม่รู้ว่านโยบายพรรคตนเองคืออะไร   

          ประชาชนที่ออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ส่วนใหญ่ต้องการความเปลี่ยนแปลงหลังจากทนอยู่กับคสช.และการสืบทอดอำนาจมา 9 ปี  มีความหวังว่าจะพบเจอสิ่งใหม่ๆที่ดีกว่า  ข้อสัญญาของพรรคก้าวไกลกับ 300 นโยบายที่จะลงมือทำภายใน 100 วันแรกเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย หากได้เป็นรัฐบาล  ยังต้องรออีกระยะหนึ่งกับการฝ่าด่านอรหันต์ที่ตั้งดักเอาไว้ข้างหน้า   

Facebook Comments


Social sharing

Related post