
จุดยืนเชิงรุกของไทยบนเวทีโลก กับนโยบายต่างประเทศที่กินได้

นโยบายต่างประเทศของพรรคเพื่อไทยมีแนวคิดอยู่ ดังนี้
1. จะปรับเปลี่ยนเป็นนโยบายต่างประเทศเชิงรุก อาทิ บทบาทของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ในเวทีอาเซียน และในเวทีโลก ควรแสดงท่าทีในประเด็นต่างๆโดยยึดมั่นในหลักการที่สำคัญ อาทิในเวทีโลกต้องยึดมั่นชัดเจนในกฎบัตรสหประชาชาติ ในกฎหมายระหว่างประเทศ ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ดังเช่นการโหวตในกรณียูเครนกับรัสเซียในเดือนตุลาคม 2565 ไทยงดออกเสียง ต่อมาเมื่อครบรอบ 1 ปีของสงครามยูเครน-รัสเซีย เมื่อประมาณ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ไทยโหวตประณาม ซึ่งถ้าไทยโหวตในเชิงรุกก็ต้องยืนหยัดในกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และหลักสิทธิมนุษยชนเป็นต้น แม้ไทยจะเป็นประเทศเล็ก เป็นมิตรทั้งรัสเซียและยูเครน
2. เพิ่มพูนบทบาทไทยในเวทีโลก ซึ่งสอดคล้องกับข้อแรก ฟื้นฟูบทบาทของไทยและเกียรติภูมิของไทยในเวทีโลกให้กลับคืนมา
3. เน้นนโยบายต่างประเทศที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจ กินได้ ผลประโยชน์ตกถึงมือประชาชน เป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนบนท้องถนน เช่นการค้าตามแนวชายแดน ซึ่งต้องเปิดด่านเพิ่มมากขึ้น ต้องเจรจาขยายเวลาเปิดด่านกับประเทศที่มีพรมแดนติดกันให้การค้าตามแนวชายแดนไร้รอยต่อให้ได้
หรือเรื่องของFTAที่ชะงักงันมาหลังจากรัฐประหารในปี 2557 กับสหภาพยุโรป และกับอังกฤษที่ออกจากEU ก็มีเป้าหมายเจรจาให้สำเร็จภายใน 1 ปีเพราะช้าไปแล้ว 8 ปี ในขณะที่เวียดนามเขาเริ่มพร้อมไทยแต่สรุปไปนานแล้วจึงทำให้สินค้าเวียดนามมีแต้มต่อเหนือสินค้าไทย นี่คือการเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ประเทศ เพิ่มตลาดสินค้าให้เกษตรกรและผู้ส่งออก
อีกประการคือการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาแหลางพลังงานเพิ่ม เพื่อแก้ปัญหาความมั่นคงทางพลังงาน
4. คือการยึดผลประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง
ท่าทีของไทยต่อความขัดแย้งในต่างประเทศ อาทิสงคราม รัสเซีย-ยูเครน, นาโต้-รัสเซีย, ปัญหาการเมืองในพม่า, สงครามการค้า จีน-สหรัฐ
ขณะนี้มีพลวัตระหว่างประเทศหลายเรื่อง การวางบทบาทของไทยจะเป็นอย่างไรจะต้องอาศัยข้อ 1 เป็นหลัก อีกทั้งวางบทบาทของไทยเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันในด้านสันติภาพและความรุ่งเรืองเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย ต้องยอมรับว่าไทยเป็นประเทศเล็กและไม่ได้มีส่วนในข้อขัดแย้งต่างๆ หากมีช่องทางใดที่ไทยจะสามารถส่งเสริมให้เกิดสันติภาพ เสถียรภาพ ในภูมิภาค ในประเด็นต่างๆได้เราก็ยินดีที่จะทำ ประเทศไทยก็คงจะต้องกล้าที่จะนำเสนอในประเด็นระหว่างประเทศมากขึ้น ทั้งในบทบาทของไทยในเวทีโลก และบทบาทของเราในกลุ่มอาเซียน
ยกตัวอย่างข้อขัดแย้งในยูเครน ประการแรก ท่าทีของไทยควรจะต้องคงเส้นคงวา ประการที่สอง ไทยควรจะใช้ทุกวิถีทางแสดงให้เห็นว่าการยุติสงครามด้วยการเจรจาอย่างสันติจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายระงับข้อพิพาทต่างๆด้วยการพูดคุยด้วยวิธีการทางการทูต
การชิงพื้นที่ในอาเซียนของมหาอำนาจตะวันตกกับตะวันออก ไทยควรวางท่าทีอย่างไร
เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกานั้น ต้องยอมรับว่าสหรัฐอเมริกาเป็นมิตรกับไทยเกือบ 200 ปี ส่วนสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นไทยก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นทั้งการค้าการลงทุน และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยสูงสุด ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งสองฝ่าย ถามว่ามีใครบังคับให้เราเลือกข้างไหมในการแข่งขันระหว่างสองประเทศนี้ ตอบว่าไม่มี เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็ควรวางความสัมพันธ์กับประเทศทั้งสองอย่างมีสมดุลและอย่างเหมาะสม อีกทั้งไทยยังต้องพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคกับทั้งสองมหาอำนาจนี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งๆขึ้นไป
ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ไม่ใช่ประเทศลู่ตามลมหรือที่เรียกว่า Bamboo Politic แต่จำเป็นต้องยึดมั่นในหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ เราไม่เป็นศัตรูกับใคร เราต้องรักษาความสัมพันธ์ให้ได้สมดุลในเวทีระหว่างประเทศโดยคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ เราต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเราดำเนินหรือตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยเงื่อนไขอะไรกับประเทศใด
เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับจีนในด้านการค้าการลงทุนแม้ว่าเราจะขาดดุลการค้า ทุเรียนไทยยังส่งไปขายจีนได้ดีรวมทั้งสินค้าอีกหลายอบ่าง นักท่องเที่ยวจีนก็มาเที่ยวไทยจำนวนมาก นโยบายของรัฐบาลไทยมีความชัดเจนต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าต้องการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน-ลาว-ไทย พรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารจากจีนตอนใต้ทางระบบรางผ่านประเทศลาวเข้าไทยทางหนองคาย
มหาอำนาจใหม่อย่างอินเดีย มีบทบาทในเวทีโลกแต่ไทยยังห่างเหิน สัมพันธ์ไม่ใกล้ชิด ควรวางนโยบายอย่างไร
อินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่มาก จำนวนประชากรสูง เทคโนโลยีหลายเรื่องที่ร่วมมือกันได้ การค้าขายระหว่างกันซึ่งเชื่อว่ามีช่องทางพัฒนาได้อีกค่อนข้างมาก โดยเป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับอินเดีย จะไม่มองเฉพาะคนอินเดียมาเที่ยวไทย เราน่าจะหาโอกาสทุกแห่งบนโลกนี้เพื่อคนไทย ไม่ว่าจะเพื่อการค้า การได้เทคโนโลยี
ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่เคยมีบทบาทต่อเศรษฐกิจไทยสูง ควรจัดอันดับความสำคัญใหม่หรือไม่
การลงทุนของญี่ปุ่นในไทยยังถือว่าสูงเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่ยังแนบแน่น ไม่คิดว่าญี่ปุ่นถดถอยลง เขายังมีอนาคตเพราะเทคโนโลยี ทุน และคุณภาพของคนญี่ปุ่น เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ที่ยังมีอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง มีซอฟท์พาวเวอร์ เราต้องดูว่าแต่ละประเทศมีจุดแข็งอะไรที่ไทยสามารถเรียนรู้ได้หรือจะร่วมกันพัฒนาเพิ่มเติม สองประเทศนี้มีเวทีที่เป็นทางการคือ ASEAN + 3 จึงต้องพัฒนาสร้างความแน่นแฟ้นต่อไป