![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
จีน VS อเมริกา ‘สงครามการค้ารอบใหม่’
![จีน VS อเมริกา ‘สงครามการค้ารอบใหม่’](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/ปลายซอย17.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นการชิงชัยของสองพรรคสองผู้เฒ่า ระหว่างพรรคเดโมแครตที่ส่ง โจ ไบเดน ให้นั่งเก้าอี้ต่อ กับพรรครีพับริกันที่ส่ง โดนัลด์ ทรัมป์ มาทวงเก้าอี้คืน ซึ่งชาวอเมริกันจะต้องตัดสินโหวตกันในเดือนยพฤศจิกายนนี้นั้น แม้จะเป็นการเมืองในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นต้นแบบประชาธิปไตย แต่วิธีการหนึ่งของการแข่งขันหาเสียงก็คือการ “เล่นงานจีน”
เพราะประเทศจีนในวันนี้ถูกรัฐบาลวอชิงตันระบายสีให้เป็นเหมือน “มังกรร้าย” ที่เป็นภัยคุกคาม มิใช่เป็นเพียงชาติที่เผยแพร่วัฒนธรรมการกินอาหารด้วยไม้ไผ่ 2 แท่งที่เรียกว่า “ตะเกียบ”ซึ่งสร้างความยากลำบากแก่ชาวอเมริกันที่ถนัดมีดกับซ่อม มิใช่เพียงคู่แข่งขันทางการค้าที่อเมริกาต้องเสียดุลเพราะคนอเมริกันเป็นนักบริโภคจนต้องนำเข้ามากกว่าส่งออกปีละมหาศาล
แต่เพราะจีนที่เคยยากจนข้นแค้น เคยเป็น “ผิวเหลืองขี้โรคแห่งเอเชีย” เคยล้าหลังทางเทคโนโลยี เคยก้มหัวไม่กล้าปริปากแม้จะถูกกดขี่จากนานาประเทศนักล่าอาณานิคมในอดีต มาวันนี้จีนบังอาจเงยหน้าตาแข็งชูคอเบ่งกล้ามขึ้นมาบดบังรัศมีกับสหรัฐอเมริกาในทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ การทหาร วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ถึงขั้นเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้าง “ระเบียบโลกใหม่” ที่ไม่ยอมให้สหรัฐฯเป็นผู้กำหนดกฎกติกาแต่เพียงผู้เดียว
จีนจึงเป็นตัวอันตราย เป็นภัยแห่งความมั่นคงของสหรัฐฯที่กองทัพและฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯกำหนดยุทธศาสตร์เอาไว้ว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองใดหรือใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ จะต้องรับรู้ว่างาน“ปราบมังกร” คือภารกิจอันดับต้นๆเช่นเดียวกับการส่งออกสงครามเพื่อหารายได้จากการค้าอาวุธ
ด้วยเหตุนี้ “สงครามการค้า” ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 8 ปีก่อนนับตั้งแต่ทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรกและไบเดนรับไม้มาดำเนินการต่อแม้จะเป็นคนละพรรคการเมือง และในช่วงครึ่งปีหลังนี้ซึ่งถือว่าเป็นโค้งสุดท้ายของศึกเลือกตั้งประเด็นจีนจึงถูกปั่นกระแสกลายเป็น “สงครามการค้ารอบใหม่” ในขณะนี้เมื่อทั้งสองพรรคการเมืองแข่งกันหาเสียงว่าจะแก้ปัญหาชีวิตชาวอเมริกันที่กำลังเผชิญอยู่ด้วยการลดอิทธิพลจีน จะไม่ให้สินค้า Made in China ราคาถูกเข้ามาตีตลาดซึ่งเป็นการทำลายอุตสาหกรรมและการจ้างงานในประเทศ จะสกัดกั้นรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVจีน ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเพราะจะเป็นการสร้างหายนะแก่อุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกา
ไฟที่ทรัมป์จุดเอาไว้ถูกเติมเชื้ออย่างต่อเนื่อง ยิงเข้าใกล้โค้งสุดท้าย ทุกฝ่ายต่างพยายามจะหาเสียงกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม กลุ่มรักชาติ ออกมาปกป้องรักษาตลาดภายในประเทศ
ไบเดนซึ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบบนเก้าอี้ประธานาธิบดีได้อ้างกฎหมายทางด้านการค้าโดยเฉพาะมาตรา 301 Trade Act เพื่อใช้มาตรการทางภาษีในการรับมือการทุ่มตลาดจากสินค้าราคาถูกจากจีน คือเหตุผลของความชอบธรรมของรัฐบาลวอชิงตันในการขึ้นกำแพงภาษีครอบคลุมสินค้าจีนคิดเป็นมูลค่า 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ(ประมาณ 6.6 แสนล้านบาท) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2024 โดยไบเดนป่าวประกาศว่าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของชาวอเมริกันจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
สินค้าหลักๆจากจีนที่เจอกำแพงภาษีรอบนี้ระดับ 25% 50% จนถึง100% นับจากปีนี้จนถึงปี 2026 ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เหล็กและอลูมิเนียม เซมิคอนดักเตอร์ แผงโซลาเซลส์ ถุงมือยางทางการแพทย์ ชุดPPE ป้องกันเชื้อโรคและสารเคมีรุนแรง จนถึงหน้ากากอนามัย ฯลฯ
การที่สหรัฐฯประกาศกำแพงภาษีต่อจีนครั้งนี้ดูเหมือนจะจงใจประกาศล่วงหน้า 2 วันก่อนที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย จะเดินทางไปเยือนจีนครั้งแรกหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีเทอมที่ 5 ในโอกาสครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตจีน–รัสเซีย
มีการตั้งข้อสังเกตว่าสงครามการค้ารอบใหม่ที่สหรัฐฯเล่นงานจีนครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจีนไม่ตอบโต้ ไม่แสดงความแข็งกร้าวอย่างสมัยทรัมป์ ซึ่งอาจเป็นเพราะช่วงจังหวะนั้นรัฐบาลปักกิ่งต้องการบริหารจัดการข่าวในเชิงบวกของภาพการพบปะกันของสองผู้นำ สี จิ้นผิง กับปูติน พร้อมแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการกระชับความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน มากกว่าข่าวสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา
นอกจากนั้นในเหตุการณ์ใหญ่ถัดมายังมีข่าวเฮลิคอปเตอร์ที่ประธานาธิบดีอิหร่านโดยสารเกิดอุบัติเหตุตกจนเสียชีวิต รัฐบาลจีนร่วมแสดงความเสียใจก็ไม่อยากออกข่าวอื่นให้กระทบบรรยากาศ
จีนยุคหลังห่วงใยภาพลักษณ์ การแสดงจุดยืนในเวทีโลก เพราะนับแต่เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก จีนได้แสดงบทบาทสนับสนุนส่งเสริมการค้าเสรีมาอย่างต่อเนื่อง จนมาเจอทรัมป์และไบเดนออกมาตรการกีดกันทางการค้า จีนจึงพลิกเกมเอาปัญหานี้มาเป็นโอกาสสร้างภาพบวกแก่ตนเอง
ดังนั้นแม้จีนจะเจอการกีดกัน แต่การออกมาตรการตอบโต้นั้นจีนต้องเลือกด้วยเหตุผล 1.สิ่งที่จะไม่กระทบกับภาพลักษณ์ใหญ่ของประเทศ 2.ต้องพิจารณาผลกระทบย้อนกลับภายในประเทศจีนเอง เพราะหลังโควิดจีนเพิ่งฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและต้องการผลักดันให้เข้มแข็งเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ไม่ต้องการหยิกเล็บเจ็บเนื้อ เช่น การนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯเพื่อการเลี่ยงสัตว์ แม้ในช่วง 10 ปีจะนำเข้าลดลงเรื่อยๆหันไปนำเข้าจากแหล่งอื่นเช่นบราซิล หากไปขึ้นอากรนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐเพื่อตอบโต้ แต่จะเป็นการเพิ่มต้นทุนต่อวัตถุดิบอาหารสัตว์และจะทำให้สุดท้ายปลายทางคือเนื้อสัตว์และผลผลิตราคาแพง กระทบเศรษฐกิจภายในประเทศ
3.จีนจะเลือกไปดูสินค้าที่มีความอ่อนไหว ส่อเค้าว่าสหรัฐฯและชาติพันธมิตรพยายามทุ่มตลาดหรือไม่ เช่น สารเคมี ซึ่งจีนจำเป็นต้องนำเข้าจากหลายประเทศ จะเลือกให้มีการไต่สวนการทุ่มตลาดจากสินค้าเหล่านี้ หรือกรณีการสั่งแบน 3บริษัทที่สนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายอาวุธให้แก่ไต้หวัน
4.จีนเลือกหนทางพึ่งพาตนเอง เช่น พึ่งพาตนเองในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้วยการสร้างกองทุนการลงทุนชิปหรือ Big Fund ระลอกที่ 3 ทุนจดทะเบียน 3.5 แสนล้านหยวน
สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบนี้เชื่อว่าจะไม่แรงเหมือนสมัยแรกที่ทรัมป์เปิดศึกจนสั่นสะเทือนทั่วโลก อาจจะมีแนวร่วมจากชาติยุโรปร่วมแบนสินค้าจีนมากขึ้น สินค้าจีนจะยิ่งทะลักสู่ภูมิภาคอื่นรวมทั้งอาเซียนและไทยที่เป็นนักช็อปปิ้งออนไลน์ จนแล้วไม่เจียม สนุกกับการกดไลค์ กดแชร์ และกดสั่งซื้อ ไทยขาดดุลการค้าจีนอยู่แล้วและจะยิ่งขาดดุลมากขึ้น
รัฐบาลจีนจะยังคงนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการจีนรุกสู่ภายนอก ขยายฐานการผลิตก็คือขยายอิทธิพลจีนสู่โลกกว้าง เหมือนที่กำลังทำในทวีปแอฟริกา เชื่อว่าEVจีนอีกหลายแบรนด์จะเข้ามาตั้งโรงงานในไทย มาเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกในภูมิภาค
ผลกระทบเหล่านี้สุดท้ายจะย้อนกลับไปที่สหรัฐฯ ชาวอเมริกันที่เจอภาวะเงินเฟ้อรุนแรงอาจจะต้องควักกระเป๋าซื้อของแพงยิ่งขึ้น เพราะนักการเมืองยกเอาเรื่องดุลการค้ามาหาเสียงหาเรื่องทะเลาะกับจีน กีดกันสินค้าราคาถูกจากจีน ตั้งกำแพงภาษีสูงๆ พ่อค้าอเมริกันก็จะต้องหันไปนำเข้าจากที่อื่นซึ่งต้นทุนอาจจะสูงกว่า เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า แต่ผลลัพธ์คือจ่ายแพงกว่า ต้นทุนชีวิตสูงขึ้น เงินในกระเป๋าลดลง
ส่วนนักการเมืองได้เข้าไปนั่งกระดิกเท้าที่ทำเนียบขาวเรียบร้อยแล้ว