
จักรพลลั่น! เพื่อไทยอาสาซ่อมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว จาก Sunset เป็น Sunshine


นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้ชี้แจงถึงแนวโน้มของจำนวนนักทักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวลดลงทุกปี ภายใต้การบริหารของพลเอกประยุทธ์ โดยนายจักรพลได้เสนอแนวทางในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวประเทศไทย
นายจักรพลกล่าว่า พรรคเพื่อไทยมีความพร้อม ความสามารถ และประสบการณ์ที่จะพลิกวิกฤตการท่องเที่ยวไทยที่เหมือนพระอาทิตย์กำลังตกดิน มาเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้เหมือนพระอาทิตย์กำลังขึ้นดั่งอนาคตที่สดใสเพื่อคนไทยทุกคน โดยการทำนโยบายการท่องเที่ยว 5 Policy Travel ดังต่อไปนี้
• Shock structure เป็นการจะซ่อมโครงสร้างการท่องเที่ยวใหม่ให้ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น
- การปรับระบบการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ให้อยู่ในรูปแบบ One Single Service หรือ One Single Checkpoint ให้จบในที่เดียวทั้งการต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบ และสอดคล้องกับนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยด้วย Platform Digital Government
- ลดปริมาณทัวร์ 0 เหรียญ และทัวร์คิกแบ็ก โดยปรับทิศทางการตลาดเพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยมให้มากขึ้น รวมถึงประสานงานระหว่างรัฐและเอกชนเพื่อลดปัญหาดังกล่าว
- นำเศรษฐกิจสีเทาขึ้นอยู่ในการดูแลของรัฐฯ ด้วยการนำร่องโดย Entertainment complex หรือสถานที่บริการที่เพรียบพร้อมไปด้วยการบริการทุกรูปแบบที่ถูกกฎหมาย และรองรับด้วยมาตรการการดูแลที่ชัดเจน และผลักดันสถานที่ดังกล่าวให้เป็น Smart community เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการและประชาชนทุกคน
- ประเทศไทยจะต้องสร้างสายน้ำแห่งการท่องเที่ยว (River of Thailand Travel)
บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ข้อมูลและการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจะเป็นมาตรการเชิงนโยบายอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• 2. Upgrade Upstream หรือต้นน้ำ
ผ่าน 3 กลไก ดังนี้
1. การเพิ่มขีดจำกัดของการแข่งขันในพื้นที่ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ให้สอดคล้องกับบริบทการพัฒนา กำหนดสิทธิประโยชน์ให้จูงใจให้เกิดการลงทุน 2.การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนและนวัตกรรมสาหรับผู้ประกอบกิจการทุกประเภท 3.การสนับสนุนการลงทุน ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่นำร่องการพัฒนากับโครงข่าย หลักโดยรอบเพื่อดึงดูดให้เกิดการลงทุน
• 3. Modern Midstream กลางน้ำ (นวัตกรรม สิ่งแวดล้อม) เพิ่มความน่าเชื่อถือของการท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลกด้วย 2 โอกาสดังนี้
– โอกาสที่ 1 นวัตกรรม เป็นกระบวนการที่ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมของอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพระดับสูงขึ้น ผ่านโครงการ “1 ที่เที่ยว 1 นวัตกรรม” โดยแต่ละแห่งจะต้องมีนวัตกรรมเพื่อยกระดับความประทับใจของนักท่องเที่ยว
– โอกาสที่ 2 สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีส่วนในการตัดสินใจในการท่องเที่ยว โดยรัฐจะเป็นเจ้าภาพในการจัดตั้งแผน “Zero pollution travel” หรือการท่องเที่ยวที่ไร้มลพิษ โดยเริ่มจากการจัดการทางด้านสิ่งแวดล้อมของทุกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมไปถึงภาคการบริการต่างๆ โดยจะออกมาตรการลดภาษีหรือลดค่าทำเนียม
• 4. Outstanding Downstream หรือปลายน้ำ (การตลาด ความร่วมมือระหว่างประเทศ)
เพื่อไทยจะบุกตลาดนักท่องเที่ยวด้วย 2 กลยุทธ์
กลยุทธ์ที่ 1 ตีตลาดในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงผ่าน Platform ต่างๆ พร้อมแสดงความพร้อมต่อการรับมือการระบาดของโควิด – 19 และความพร้อมในการก้าวไปสู่แถวหน้าของการท่องเที่ยวโลก ต่างๆ
กลยุทธ์ที่ 2 ความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยนำเสนอ การพัฒนาระเบียงและเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศ ที่ถูก Boost ด้วยเครื่องยนตร์ตัวที่ 5 คือ เครื่องยนต์ทางดิจิทัล ผ่าน 2 กลไก ดังนี้
กลไกที่ 1 พัฒนากรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำ ด้วยการผลักดันสินค้า Soft power ไทยที่โดดเด่น ผ่าน Platform และ E – Commerce และมีการสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารด้วย Covid Safety Food และผลักดันการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาทิ การท่องเที่ยว ๕ เชียง เป็นต้น
กลไกที่ 2 กรอบความร่วมมือแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย – มาเลเซีย – ไทย ด้วยการผลักดัน Supply Chain โดยชูจุดเด่นของสินค้าไทย อีกทั้งเรายังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สวยงาม พร้อมสนับสนุน Digital Platform ที่ทำให้ ผู้ประกอบการไทยและภาครัฐไทยพร้อมก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างจริง โดยมีกองทุนพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นกองทุนที่เข้าถึงง่าย ดอกเบี้ยต่ำ
• ทั้งหมดนี้พรรคเพื่อไทยต้องการดึงศักยภาพทรัพยากรที่มีอยู่ มาผสมผสานกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เหมือนรัฐบาลที่ไม่เคยมองเห็นถึงทรัพยากรที่มีอยู่ภายในประเทศ มีดีแต่กู้เงินมาลงทุน เหมือนตำพริกละลายแม่น้ำ เหมือนกระเชอก้นรั่ว ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่ประหยัด มีดีแต่กู้ กู้มาแล้วไม่วางแผนในระยะยาว
• 5. Travel application (เทคโนโลยีเพื่ออัพเกรดจาก New normal เป็น Now normal)
ภาคการท่องเที่ยวไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองจาก Offline มาเป็น Online มากขึ้น ผ่าน Digital platform โดยมีรายละเอียดดังนี้
จัดตั้งแอพพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น โดยภายในแอพพลิเคชั่นจะมีโปรโมชั่นจากร้านค้า ภัตตาคาร โรงแรม เที่ยวบินและทัวร์ต่างๆ ที่สามารถผูกบัญชีกับธนาคารพาณิชย์ได้ มีระบบจองที่พักและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
นายจักรพล ได้กล่าวต่อว่าอีกว่ายังมีโครงการ Travel Midline พรรคเพื่อไทยเล็งเห็นโอกาสของการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดย 1 ในนโยบายที่สำคัญคือ Travel Midline ซึ่งเป็นนโยบายที่สร้างและพัฒนาโครงสร้างการท่องเที่ยวในประเทศไทยและเชื่อมประเทศเพื่อนบ้านไว้ได้ด้วยกัน ภายใต้กรอบความคิด “เที่ยวไทย เชื่อมโลก” ผ่านการดำเนินการภายในและภายนอก กล่าวคือการดำเนินการภายใน คือ การส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ต่างๆในหลายเส้น Midline ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐานและที่สำคัญคือยุทธศาสตร์การ ภายในขอบเขตดังนี้
– ภายประเทศ จังหวัดเมืองหลัก เมืองรอง และเขตเศรษฐกิจใหม่
– ภายนอกประเทศ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้แก่ กลุ่ม GMS, IMT-GT,APEC OECD, MJ-CI และ JDS
โดยกายการจะเริ่มนโยบายนี้ต้องเริ่มจาก 1. ศึกษาและประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ 2. ติดต่อประสานงานทั้งความร่วมมือภายในและภายนอกประเทศ 3. ตรวจสอบความพร้อมในการเริ่มโครงการ 4. เริ่มโครงการ
หากได้ดำเนินการนโยบายดังกล่าว เชื่อว่าจะมีการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นมากกว่า 80,000 บาทต่อหัว นักท่องเที่ยวไทยมากกว่า 200 ล้านคนต่อครั้ง นักท่องเที่ยวต่างประเทศมากกว่า 40 ล้านคน รายได้จากภาคการท่องเที่ยวมากกว่า 3.5 ล้านล้านบาท อีกทั้งเพิ่มตำแหน่งงานด้านการท่องเที่ยวมากกว่า 800,000 ตำแหน่ง ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การสร้างและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย เพื่อคนไทยทุกคน
นายจักรพลได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ผมยินดีที่จะคว้าโอกาสทองในการนำพาการท่องเที่ยวไทยสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เวลานั้นมีมูลค่าเสมอ หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะใช้เวลาทุก ๆ ขณะให้เกิดประโยชน์ สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติให้มากที่สุด และคืนความทุกข์มอบความสุขให้แก่คนไทย “เพื่อไทย” ห่วง ประเทศไทยต้องใช้เวลาอีกนานในการรักษาตัวเอง
นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเลย เขต 2 และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นต่อสถานการด้านเศรษฐกิจของไทย หลังจากสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังปรับตัว แต่ละประเทศกำลังออกมาตราการต่างๆเพื่อรักษาระบบเศรษฐกิจของตนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและปัญหาเศรษฐกิจถดถอย จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีมาตราการที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่นหลายระเทศแข่งขันกันดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อฟื้นคืนธุรกิจท่องเที่ยวที่ซบเซาไปนานในช่วงวิกฤตโควิด มาตราการต่างๆก็เพื่อให้ประเทศตนผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปให้ได้ โดยประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่ในปัจจุบัน รัฐบาลไทยกลับไม่มีความชัดเจนในการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่หน้าเป็นห่วงว่าผลกระทบหลังจากนี้ต่อประชาชน จะยิ่งรุนแรงและเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลานานกว่าที่จะสามารถฟื้นตัวได้ มาตราการของรัฐบาลกลับเป็นการมุ่งเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินเหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะช่วยเหลือประชาชนได้บ้าง แต่ไม่สามารถฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
มาตรการล่าสุดของรัฐบาลที่มีเป้าหมายเพื่อดึงนักลงทุนกลับกลายเป็นเรื่อง การพยายามออกกฏกระทรวงเพื่อให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อที่ดินในประเทศไทยได้ จนทำให้โดนประชาชนและสังคมไทยออกมาต่อต้านแนวคิดดังกล่าว และในที่สุดรัฐบาลก็ต้องยอมถอยเรื่องการขายที่ดินไปก่อน นี่คือสิ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นห่วง เพราะความพยายามขายที่ดินให้ต่างชาติ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีแผนการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ จนต้องคิดขายแผ่นดินเพื่อหาเงิน ซึ่งนี่เปรียบเสมือนการยอมรับว่า รัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถคิด หรือมีนโยบายในการดึงดูดการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทยในมุมมองนักลงทุนต่างชาติได้ จนทำให้ธุรกิจต่างชาติมากมายเลือกย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย ไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่รัฐบาลไม่สามารถหามาตราการในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ แม้ฝ่ายการเมืองในสภาพยายามจะออกกฏหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนในการสร้างธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาล
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากในขณะนี้กระแสการเมืองไทยกำลังเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้งใหม่เข้าไปทุกขณะ อีกทั้งข่าวความวุ่นวายภายในรัฐบาลเอง ทำให้รัฐบาลมุ่งความสนใจไปในเรื่องขอกการเตรียมความพร้อมของฝ่ายตนในด้านการเมือง จนเหมือนจะลืมหน้าที่ฝ่ายบริหารไป ความแตกแยกในฝ่ายบริหารเห็นได้จากข่าวในช่วงเวลานี้ ที่รัฐบาลแทบไม่มีการพูดถึงมาตราการช่วยเหลือภาคธุรกิจ กลับกันมีข่าวการโยกย้ายและการต่อสู้ทางการเมืองภายในรัฐบาลมากขึ้น ทำให้การแก้ไขปัญหาและการช่วยเหลือประชาชนกลายเป็นเรื่องรอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ปัญหาเหล่านี้จะไม่จบถึงแม้รัฐบาลปัจจุบันจะหมดวาระลง แต่ประชาชนจะยังต้องได้รับผลกระทบต่างๆ จากความไม่เอาไหนของผู้นำรัฐบาลที่ชื่อ ประยุทธ จันทร์โอชาต่อไป และรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาก็จะต้องใช้เวลาอีกมากในการซ่อมแซมประเทศที่พังมาตลอด 8 ปี ภายใต้การบริหารของผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบัน