Digiqole ad

จะเสร็จกี่โมง!?! อย่าเป็นแม่สายบัวแต่งตัวเก้อ

 จะเสร็จกี่โมง!?! อย่าเป็นแม่สายบัวแต่งตัวเก้อ
Social sharing

Digiqole ad

อีบุ๊กบางกอกทูเดย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๔๓๐ ระหว่างวันที่ ๔-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗

หน้า 2-3 สกู๊ปปก

จะเสร็จกี่โมง!?!

อย่าเป็นแม่สายบัวแต่งตัวเก้อ

กำลังกลายเป็นวลียอดฮิตอยู่ในขณะนี้กับคำว่า “จะเสร็จกี่โมง!?!” ซึ่งหมายถึงว่า โอกาสที่จะทำเสร็จทันทีทันใด คงไม่ได้หรอก ท่าจะยาก คงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง หรือ ว่ารออีกนานแสนนานกันไปเลย หรือ มองไม่เห็นหนทางว่าจะสำเร็จเสร็จสมเมื่อใด ลองหันมามองในสังคมไทยว่ามีเรื่องอะไรเด่น ๆ บ้าง ที่จะต้องถูกถามว่า “จะเสร็จกี่โมง!?!”

50 ปี ถนนพระราม 2

มาที่ประเด็นล่าสุดเลยที่รัฐบาลเศรษฐาลุกขึ้นมากรันตีว่าต้องทำเสร็จในรัฐบาลชุดนี้ ! เนื่องจากตลอดระยะเวลา 50 ปี ได้สร้างความทุกข์กับผู้ใช้รถใช้ถนนเส้นพระราม 2 กี่ชีวิตที่ต้องประสบอุบัติเหตุ ทั้งบาดเจ็บ ทั้งพิการ ทั้งเสียชีวิต รวมทั้งชาวบ้านผู้อยู่อาศัยในละแวกนี้ที่ต้องทนกับสภาพมลมิษต่าง  ๆ นานา อาทิ ฝุ่นเอย เสียงดังเอย วันนี้มีคำตอบแล้วว่า “จะเสร็จกี่โมง!?!”

เมื่อไม่กี่วันก่อน นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชื่นชมการทำงานด้วยการบูรณาการหน่วยงานรัฐ-เอกชน พร้อมวางแผนบริหารจัดการหลายมิติ ลุยแก้ปัญหาการจราจรบน “ถนนพระราม 2″ จนทำให้ประชาชนสัญจรคล่องตัวมากขึ้น พร้อมสั่งการ ทุกโปรเจกต์ต้องสร้างเสร็จภายในปี 2568 ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความสะดวกจากการสัญจรในเส้นทางบริเวณนี้มากขึ้น อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ ความปลอดภัยสำหรับประชาชนต้องมาอันดับ 1
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าถนนพระรามที่ 2 ที่ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2513 จนถึงปัจจุบัน รัฐบาล โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้บริหารจัดการ ดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และพบว่า ในปัจจุบันการสัญจรบนถนนพระราม 2 ตลอดเส้นทาง มีการจราจรติดขัดลดลง และมีความสะดวกในการเดินทางเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้การสัญจรบนถนนพระราม 2 ในอนาคตหลังจากนี้ จะไม่เกิดปัญหาการจราจรติดขัดสาหัส หรือหนาแน่นมากเกินไปดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา ประกอบกับสามารถบริหารการจราจรในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ที่ประชาชนจะเดินทางเป็นจำนวนมากได้ง่ายขึ้น

เห็นได้ชัดจากผลการรายงานของกรมทางหลวงซึ่งระบุว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 การบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานทำให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การคืนพื้นผิวจราจรบริเวณพื้นที่ก่อสร้างอย่างปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ตรวจสอบมาตรฐานและความเหมาะสมของการติดตั้งป้ายเตือนต่าง ๆ ติดตั้งกล้องวีดีโอวงจรปิดเพิ่มเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ขอความร่วมมือรถบรรทุกหยุดวิ่งบนถนนพระราม 2 จัดเจ้าหน้าที่ทีม RSA ออกตรวจการณ์ ร่วมบูรณาการประสานกับเจ้าหน้าที่พื้นที่ เปิด – ปิด ช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) เป็นต้น
ทั้งนี้ โครงการที่ดำเนินการก่อสร้างบริเวณถนนพระราม 2 มีจำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย
1. โครงการทางพิเศษ (ทางด่วน) สายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก สัญญาที่ 1,2,3,4 (งานโยธา)
2. โครงการทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข 35 สายธนบุรี – ปากท่อ (ถนนพระราม 2) ตอนทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน – เอกชัย ทางยกระดับตอน 1,2,3
3. โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 (M82) สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ตอนเอกชัย – บ้านแพ้ว ตอนที่ 1-3,5,8-10 และ
4. โครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้ ทล. และ กทพ. ไปดำเนินการเร่งรัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 แต่ในส่วนของทางยกระดับบางขุนเทียน – บ้านแพ้ว ตอนเอกชัย – บ้านแพ้ว ตอนที่ 4 และ 6 คาดว่า จะแล้วเสร็จตามสัญญาในช่วงเดือนธันวาคม 2568
คาดว่า ทุกโครงการก่อสร้างนี้จะแล้วเสร็จตามสัญญาในปี 2568 โดยกระทรวงคมนาคมติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งรัดผู้รับเหมาดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะกำหนดมาตรการโทษหากผู้รับเหมาดำเนินการไม่เป็นไปตามแผน หากผู้รับเหมาทำงานล่าช้ากว่า 50% ของสัญญาในแต่ละเดือนมีสิทธิโดนยกเลิกสัญญา ทั้งนี้ เน้นย้ำด้านความปลอดภัยสูงสุดเป็นอันดับแรก และอำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับผู้ใช้ทาง โดยได้ดำเนินการกำหนดให้ทำงานเฉพาะช่วงเวลา 22.00 น.- 05.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
“ความคืบหน้าจนเห็นเป็นผลงานอย่างเป็นรูปธรรมนี้ เกิดจากการสั่งการ กำชับของนายกรัฐมนตรีซึ่งให้ความสำคัญกับการทำงานของหน่วยงานรัฐด้วยความใส่ใจ คำนึงถึงความปลอดภัย และความสะดวกของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ในบางช่วงเวลา บางวันถนนพระราม 2 นี้ยังมีปัญหารถติดบ้าง ชะลอตัวบ้าง ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้รถใช้ถนน ไม่ใช่ว่ารถไม่ติดแล้ว แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวม การจราจรคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นผลงานที่รัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในเส้นทางที่เป็นหนึ่งในเส้นทางหลักนี้ได้อย่างดี” นายชัย กล่าว

จุดสิ้นสุดการสังคายนา “ตำรวจ”

นับเป็นฮือฮาของวงการสีกากี เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงการคลัง (ในขณะนั้น) ออกมายืนยันกับสื่อมวลชนว่า ได้มีหนังสือให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมิล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มาช่วยราชการ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีประเด็นเรื่องการบริหารราชการ และคดีความต่างๆ จึงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้า ด้วยความเป็นธรรม โดยไม่มีการแทรกแซง ยืนยันว่า ทั้ง 2 คน ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความสะดวก และดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มที่ ไม่มีการก้าวก่ายในกระบวนการยุติธรรม

ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่แล้วได้มีการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาญัตติด่วนเพื่อเสนแนะต่อการแก้ปัญหาองค์กรตำรวจ ที่ใช้เวลาอภิปราย เกือบ 3 ชั่วโมง  ได้ส่งต่อประเด็นที่อภิปรายไปยังสำนักงานตำรวจ (สตช.) และรัฐบาลให้พิจารณาต่อไป

ทั้งนี้มีประเด็นอภิปรายของ สส.ที่น่าสนใจ คือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง บอกว่าไม่อยากให้ใช้คำว่าสังคายนากับวงการตำรวจ ท่านบอกว่าให้เลี่ยงใช้คำว่าแก้ไปทีละเรื่องๆ นั้น แสดงว่าท่านนายกฯ อาจยังไม่ให้เห็นปัญหาที่แท้จริง หรือยังไม่อยากยอมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ เรื่องที่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่กล่าวหาใส่ร้ายกันไปมานั้น จริงเท็จประการใดก็ว่ากันไป แต่ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ ยิ่งเอาตำรวจคอมมานโด อาวุธครบมือบุกเข้าไปค้นบ้านรอง ผบ.ตร.ยิ่งเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะ ผบ.ตร.และผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์บอกไม่รู้ ขณะที่บ้านผู้มีอิทธิพลใน จ.นครปฐม ตำรวจชั้นยศสูงๆ กลับไปยืนกุมเป้าร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ภาพแบบนี้สะท้อนความผิดปกติ

นายวิโรจน์ อภิปรายต่อด้วยว่า วันนี้ประชาชนหน่ายใจที่อาชญากรรมสำคัญที่ประชาชนได้รับผลกระทบ ทั้งการพนันออนไลน์ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ แรงงานข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงส่วยทั้งส่วยรถบรรทุก ส่วยสถานบันเทิงและน้ำมันเถื่อน ปัญหาทั้งหมดมีตำรวจบางนาย บางกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้อง พฤติกรรมเข้าข่ายอั้งยี่ซ่องโจร ตั้งเป็นกลุ่ม เป็นแก๊ง เป็นขั้ว ทำเอาปัญหาเรื่องตั้งด่านบ่อนวิ่งเล็กไปเลย ทั้งนี้ ผู้มีอิทธิพลได้แปรเปลี่ยนสภาพเป็นสปอนเซอร์ให้กับตำรวจระดับบังคับบัญชา สุดท้ายพอเป็นสปอนเซอร์ให้ไปซื้อขายตำแหน่ง เลี้ยงดูปูเสื่อก็ได้ตำรวจคนนั้นมาเป็นลูกน้อง

“นายกฯ อย่าใช้คำว่าปราบปรามบ่อยหรือทำแบล็กลิสต์ ดูเหมือนขึงขังแต่ไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะเป็นการเรียกให้ผู้มีอิทธิพลเข้ามาสิโรราบ และเชื่อมให้ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเข้ามาเชื่อมกับอำนาจส่วนกลาง ตำรวจดีๆ ระดับผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับการ ผู้การจังหวัดต่างๆ ที่เคยเอาอยู่ก็จะเอาไม่อยู่ และแบล็กลิสต์จะเต็มไปด้วยเจ้าพ่อที่เป็นคู่แข่งกับเจ้าพ่อตัวจริง สุดท้ายเมื่อเจ้าพอที่เป็นคู่แข่งขันถูกล้างบาง จังหวัดนั้นจะถูกครอบงำโดยเจ้าพ่อคนนั้นและตำรวจลูกสมุน” นายวิโรจน์ กล่าว

หลังจากที่สมาชิกแสดงความคิดเห็นครบแล้ว นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยอภิปรายปิดญัตติด่วน โดยเชื่อว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ฐานะประธาน ก.ตร. มีความปรารถนาดี โดยคำนึงถึงการปฏิรูปตำรวจ หลังจากที่มติ ก.ตร. เห็นชอบ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  สุขวิมล รองผบ.ตร. เป็น ผบ.ตร. คนใหม่

ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายปิดญัตติ โดยยืนยันถึงข้อเสนอแนะที่ต้องการให้รัฐบาลนำไปแก้ปัญหา หากรัฐบาลเห็นชอบกับข้อเสนอแก้ไขกับประเด็นที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ควรต้องดำเนินการปฏิรูปตำรวจ หรือ สังคายนาตำรวจ

“ผมหวังว่าหลังจากการอภิปรายจะได้รับการแจ้งกลับมาว่ารัฐบาลนำพาอย่างไรบ้าง เพราะหากรัฐบาลไม่นำพาอะไร ทำให้การอภิปรายของ สส. ที่เห็นร่วมกันเสียของ” นายรังสิมันต์ กล่าว

จากนั้นที่ประชุมเห็นชอบให้ส่งความคิดเห็นในญัตติดังกล่าวไปยัง ครม.เพื่อพิจารณาต่อไป (ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ)…ซึ่งถึง ณ วันนี้ก็ยังไม่ทราบว่า การจัดการองค์กรตำรวจ “จะเสร็จกี่โมง!?!” เพราะในขณะนี้ “บิ๊กต่อ” กับ “บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่ได้กลับมานั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. กับ รอง ผบ.ตร. เหมือนเดิม!!!

“คอลเซ็นเตอร์”จาก “รัฐบาลประยุทธ์” ถึง “รัฐบาลเศรษฐา”

            “แก็งคอลเซ็นเตอร์” ชื่อนี้หลายคนคงจะขยาดแบบสุด ๆ เนื่องจากสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนคนไทยไปทุกหย่อมหญ้า ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กระทั่งลากยาวมาถึงรัฐบาล “นายเศรษฐา ทวีสิน”  ประชาชนจึงอยากทราบว่าปัญหาที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นี้ แก้ไข “จะเสร็จกี่โมง!?!”

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในรัฐบาลสมัยนั้น ได้รับเรื่องร้องเรียนจากหลากหลายช่องทางถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน ระบาดอย่างมากในช่วงเวลานี้ โดยนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชน จึงกำชับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะขึ้นแก่ประชาชน โดยเฉพาะการสูญเสียทรัพย์สินจากการถูกหลอกลวง โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เน้นย้ำให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบผู้กระทำความผิด จะต้องถูกลงโทษในทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่มีข้อยกเว้น หากพบเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือให้การช่วยเหลือผู้กระทำความผิด รวมถึงละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จะถูกลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังแนะนำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เน้นย้ำหรือเพิ่มช่องทางการแจ้งเบาะแสสำหรับประชาชน โดยเชื่อว่าการมีส่วนร่วมของประชาชน จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างดี มีประสิทธิภาพและยั่งยืน และยังแนะนำให้เพิ่มการสร้างการรับรู้ต่อประชาชน โดยเฉพาะการจัดทำชุดความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อให้เกิดการรับรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เลือกใช้วิธีการในหลายรูปแบบเพื่อหลอกลวงประชาชน เช่น อ้างเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุ , อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ , อ้างเป็นเจ้าหน้าศาล, อ้างเป็นพนักงานธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน รวมถึงใช้ระบบเพื่อให้เห็นว่าโทรจากต่างประเทศ ขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงินกับบุคคลที่ไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ขอให้บุตรหลานช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเตือน ให้คำแนะนำแก่ผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินจากการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพ และหากพบพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอให้เบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเป็นประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามต่อไป

             และเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ในขณะนั้น)  เดินทางมามอบนโยบาย และกำชับการปฎิบัติงานของตำรวจในสังกัด กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการแทน ผบ.ตร.,พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.,พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผบ.ตร.,พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และข้าราชการตำรวจในสังกัดเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย

นายเศรษฐา กล่าวว่า  ผมคิดว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องมาที่นี่ คงไม่ต้องอารัมภบทอะไรมากมาย  เชื่อว่าเป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้วว่า บช.สอท. ถูกสังคมเพ่งเล็งเยอะมาก แต่คิดว่าไม่มีอะไรตอบสังคมได้ดีกว่าการปฏิบัติของพวกท่านทุกคน และหน่วยงานต่างๆ แต่ผมคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องพิสูจน์กันว่าจริงๆแล้ว ไม่ใช่ผมไม่ใช่รักษาการ แต่คือประชาชน โดยงานที่ดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหวยออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน และเฟกนิวส์ทั้งหลายเหล่านี้เชื่อว่า กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งเราทุกคนในที่นี้ มีความเกี่ยวข้อง ต้องมีความรับผิดชอบให้พี่น้องประชาชนอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีได้รับความเป็นธรรม ในการถูกคุ้มครองซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีไปไกลมาก การที่พี่น้องประชาชนถูกมอมเมา ถูกหลอกลวง ถูกต้มตุ๋น ทั้งหลายนี้ บางคนเก็บเงินมาทั้งชีวิตถูกคอลเซ็นเตอร์หลอกไปหมดเลย  บางคนเก็บเงินไว้รักษาพ่อแม่และเก็บเงินไว้ส่งลูกเรียนต่อหรือ ส่งลูกเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก  นี่ไม่ใช่เป็นปัญหา ของการที่เขาถูกหลอกลวง แต่เป็นปัญหาความมั่นคงของประเทศด้วย

“วันนี้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ผลงานของเราจะเป็นที่ประจักษ์ ขอเป็นนิมิตใหม่อันดีและเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ ของการที่เราเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชน ภายใน 30 วันนี้ ชัดเจนว่าจะจับอะไรให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหวยออนไลน์ หรืออะไรที่เกิดขึ้น ซึ่งพี่น้องถูกหลอกลวงทุกวันนี้ยังมีอยู่ ขอเลยเรื่องนี้จะต้องทำงานกันอย่างชัดเจนและใกล้ชิด เพราะเทคโนโลยีไปไกลมาก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) พร้อมที่จะทำงานร่วมกัน ผมเจอรัฐมนตรีดีอีจะกำชับอย่างเด็ดขาดว่าต้องทำงานร่วมกัน อย่ามีการโยนความผิดซึ่งกันและกัน อย่าบอกว่าคนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่มีนะตรงนี้ ผมเชื่อว่ามานั่งตรงนี้แล้วรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้”

ฝุ่น PM2.5 วาระแห่งชาติ ปี 2562-2567 ล้มเหลว

อีกหนึ่งปัญหาที่ถูกถามว่า “จะเสร็จกี่โมง!?!” นั่นเรื่องเรืองฝุ่น PM2.5 ที่สร้างปัญหาทั้งชีวิตผู้คนและทั้งระบบสิ่งแวดล้อมอย่างมากมายมหาศาล ซึ่ง จับตาอนาคตประเทศไทย ThaiPBS รายงานว่า ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 กลับมาสร้างปัญหาเป็นระยะ แม้รัฐบาลก่อนกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ปี 2562 แต่ดูเหมือนจะดีขึ้นในระยะแรก แต่เมื่อสิ้นแผนฝุ่นควันก็กลับมาหนักขึ้น ในขณะที่รัฐบาลปัจจุบันไม่มีแผนที่ชัด มีเพียงแต่มาตรการจากครม.เป็นข้อสั่งการ

เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง (ในขณะนั้น) มีการประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2567 และกลไกการบริหารจัดการ ย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ โดยมีการตั้งคณะกรรมการแห่งชาติด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง หมอกควัน และฝุ่นละออง ให้เป็นไปตามกลไกการบริหารจัดการทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ตาม “คำสั่งการ” ในที่ประชุมครม. มีการกำหนดเป็น “มาตรการ” ให้หน่วยงานภาครัฐไปปฏิบัติ แต่ไม่มีการกำหนดแผนแก้ปัญหาเหมือนรัฐบาลก่อนหน้า ที่เห็นว่าปัญหาดังกล่าวรุนแรงจนต้องเป็น “วาระแห่งชาติ”

สำหรับมาตรการแก้ปัญหา PM2.5 ที่ ครม.ของนายกฯเศรษฐา ระบุว่าเป็น “การแก้ปัญหาเชิงรุก” มี 5 แนวทาง ที่ต้องจับตามองว่า “จะเสร็จกี่โมง!?!” คือ 1. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ให้เกษตรกรเปลี่ยนวิธีจากการเผาเป็นฝังกลบ หากเกษตรกรรายใดติดปัญหาเรื่องเครื่องมือในการฝังกลบ ภาครัฐยินดีส่งเสริม และหากฝืนไม่ปฏิบัติตามจะถูกตัดสิทธิในการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐทุกรูปแบบ 2. ให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ กำหนดมาตรการลดหรือห้ามนำเข้าสินค้าทางการเกษตรที่พิสูจน์ได้ว่า มีกระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับการเผา เช่น การนำเข้าข้าวโพด ซึ่งแหล่งนำเข้าข้าวโพดมีการเผาตอซังข้าวโพด 3. กำหนดให้มีการจับกุม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ออกประกาศเขตห้ามเผา ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หากผู้ใดฝ่าฝืน ให้มีการลงโทษตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด 4. การลงโทษปรับ กรณีการเผาที่เป็นเหตุให้รำคาญ ตามพระราชบัญญัติสาธารณสุข หากมีการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เกี่ยวข้องจับกุมและลงโทษตามกฎหมาย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้มงวดกับการดูแลพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดการเผา หรือลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกิดจากการเผาจากประเทศต้นทาง หากปล่อยให้เผาหรือมีการลักลอบนำเข้าผู้ว่าฯ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป 5. การสนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่ารัฐบาลจริงจังกับปัญหาดังกล่าว และมอบหมายกระทรวงเกษตรฯ ให้ความรู้เรื่องการไถกลบและผลเสียของการเผากับเกษตรกร

โดย ครม.ขอให้คณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศนำแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และทำให้เป็นมาตรการที่ชัดเจนโดยด่วน

สำหรับมาตรการเร่งด่วนป้องกันฝุ่น PM2.5 ปี 2567 รัฐบาลเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมป้องกันการเกิดฝุ่น PM2.5 และไฟป่า ใน 3 พื้นที่แหล่งกำเนิดหลัก ได้แก่ พื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่เมือง รวมถึงหมอกควันข้ามแดน โดยมี 11 มาตรการ 1. ควบคุมพื้นที่เสี่ยงต่อการเผาใน 11 ป่าอนุรักษ์ 10 ป่าสงวนแห่งชาติ โดยจัดทำแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า จัดระเบียบควบคุมผู้เข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ เพื่อลดการเกิดไฟในพื้นที่ป่าให้ได้ 50% จากปี 2566 2. กำหนดเงื่อนไขการอนุญาตการเผาและการบริหารจัดการการเผาในพื้นที่เกษตร โดยสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนในพื้นที่ 3. นำระบบการรับรองผลผลิตทางการเกษตรแบบไม่เผา (GAP PM2.5 Free) มาใช้กับการปลูกอ้อย ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4. การจัดหาและสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตรที่เหมาะสม 5. จัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกร และมาตรการไม่รับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบ การบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยนำมาแปรรูปเพื่อสร้างรายได้ และจัดตั้งศูนย์รับซื้อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

6.เพิ่มเงื่อนไขเรื่องการเผาในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรในการนำเข้า – ส่งออกสินค้า เพื่อแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน 7. พิจารณาสิทธิประโยชน์หรือแรงจูงใจให้ภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 8. ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามมาตรฐานยูโร 5 การลดปริมาณฝุ่นละอองจากรถบรรทุก รถยนต์ รถจักรยานยนต์ 9. เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีและการตรวจจับควันดำ การเข้มงวดวินัยจราจร การคืนพื้นผิวจราจรบริเวณการก่อสร้างรถไฟฟ้า การลดจำนวนรถยนต์ในท้องถนนโดยเฉพาะในพื้นที่เมือง สร้างจุดจอดแล้วจร และสนับสนุนการปรับเปลี่ยนใช้รถยนต์ไฟฟ้า 10. ลดปริมาณฝุ่นละอองจากการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้างและอื่นใด 11. กำหนดหลักเกณฑ์ในการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน

ภาพ : อินเทอร์เน็ต,เพจพรรคเพื่อไทย,กรมประชาสัมพันธ์

อีบุ๊กบางกอกทูเดย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๔๓๐ ระหว่างวันที่ ๔-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗

หน้า 2-3 สกู๊ปปก

จะเสร็จกี่โมง!?!

อย่าเป็นแม่สายบัวแต่งตัวเก้อ

อีบุ๊กบางกอกทูเดย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ ๔๓๐
ระหว่างวันที่ ๔-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗
https://book.bangkok-today.com/books/nawo/#p=1
(สามารถพลิกอ่านได้เหมือนหนังสือปกติ)
website : www.bangkok-today.com
#ebookbangkoktoday
#อีบุ๊กบางกอกทูเดย์
#bangkoktoday
#บางกอกทูเดย์

Facebook Comments


Social sharing

Related post