![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
จง ไท่ อี้ เจีย ชิน
![จง ไท่ อี้ เจีย ชิน](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2023/01/ปลายซอย17-1.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
ก่อนจีนเปิดประเทศไม่กี่วัน แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีชาวจีนผู้ก่อตั้งอาลีบาบา แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ชื่อดังระดับโลก ที่เคยมีข่าวว่าใหญ่รวยจนลืมตัวเผลอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนจนถูกเล่นงานหนัก ถูกเอาตัวไปปรับทัศนคติ ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบไปพักใหญ่ บางข่าวว่าได้ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศแล้ว
แต่หลังปีใหม่แจ็ค หม่า ได้มาปรากฏตัวที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยมีภาพเผยแพร่ว่าได้ไปชมการชกมวยที่เวทีมวยราชดำเนิน ได้ถ่ายภาพร่วมกับ “บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยไทยชื่อก้องโลก รวมทั้งไปรับประทานอาหารที่ร้าน“เจ๊ไฝ” ไข่เจียวปูจานละพันระดับมิชลินสตาร์ กลายเป็นกระแสฮือฮาไปทั่วโลก
นับเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจช่วยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย ในจังหวะที่จีนประกาศเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 สำหรับการเดินทางเข้า-ออกจีน ถือเป็นจังหวะทองที่ไทยรอต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้งในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งมีผลให้จีนปิดประเทศมายาวนาน
เหตุจีนรีบเปิดประเทศ
ก่อนหน้านี้นานาประเทศพากันประหลาดใจว่าทำไมจีนตัดสินใจเปิดประเทศอย่างกะทันหันจนแม้แต่คนจีนเองก็ยังงงๆว่าท่านผู้นำสี จิ้นผิง เอายังไงกันแน่ เรื่องนี้ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า การที่จีนเปิดประเทศอย่างทันทีทันควันหลังจากผ่อนคลายความเข้มงวดมาตรการโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID) เพราะการปิดประเทศยาวนาน 3 ปีเริ่มส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ พลังการบริโภคของประชาชนเริ่มถดถอยจนเกิดการเดินขบวนเรียกร้อง มีผลให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องทบทวนและตอบสนองต่อเสียงของประชาชน
“ช่วงที่ปิดประเทศมีเสียงเรียกร้องจากทั่วโลกแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาที่ทำสงครามการค้ากับจีน ให้จีนเปิดประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านการค้าการลงทุน จีนเองก็รู้ดีว่าการเปิดประเทศจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยทันที และสไตล์ของจีนที่ตัดสินใจรวดเร็ว ก็เหมือนตอนประกาศปิดที่ทำอย่างรวดเร็วเช่นกัน ส่วนเรื่องโควิดนั้นมีข้อมูลแล้วว่าผู้ติดเชื้อในจีนส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงรักษาไม่กี่วันก็หาย และอยู่ในวิสัยที่ระบบสาธารณสุขรับมือได้”
รศ.ดร.ปิติ ให้ความเห็นด้วยว่าปีแรกที่ปิดประเทศจีนได้ประโยชน์เพราะฟื้นตัวไวขณะที่ทั่วโลกกำลังแพร่ระบาดหนัก แต่พอโลกฟื้นตัวและผ่อนคลายขณะที่จีนยังปิดประเทศ ยังคุมเข้มเรื่องโควิด อีกทั้งยังทำตัวเองในเรื่องควบคุมฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ มีปัญหาเสถียรภาพสถาบันการเงิน คุมเข้มภาคธุรกิจ ระบบเศรษฐกิจของจีนจึงเริ่มเหนื่อยอ่อน
ปี 2023 จีนจะกลับมาวิ่งได้อย่างเต็มที่เศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้ 5-7% เพราะได้จัดการปัญหาใหญ่ๆอย่างเรื่องอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินแล้ว ในประเทศก็ไม่มีปัญหาเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพ เมื่อเทียบกับยุโรปและสหรัฐฯที่ยังเป็นปัญหาใหญ่
ปั่นข่าวถล่มจีน
การที่จีนประกาศเปิดประเทศแบบปัจจุบันทันด่วนโดยมีการประโคมโหมข่าวว่าเชื้อโควิดยังระบาดในจีน มีผลให้นานาประเทศมองจีนเป็น “ปัจจัยเสี่ยง”ว่าจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญฝั่งตะวันตกประเมินว่าแต่ละวันจีนมีผู้ติดเชื้อหลายล้านคน รวมถึงคาดว่าปี 2023 จีนอาจมีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดอย่างน้อย 1 ล้านคน บริษัทข้อมูลด้านสาธารณสุขอังกฤษรายหนึ่งระบุว่า อาจมีชาวจีนเสียชีวิตสูงถึง 9,000 คนต่อวัน
สำนักข่าวใหญ่ของอังกฤษ 2 แห่งเผยแพร่ข่าวโดยอ้างแหล่งข่าววงในของ “คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน”( NHC) ว่าในช่วงเดือนธันวาคม 2022 ที่ผ่านมามีชาวจีนที่อาจติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่สูงถึง 250 ล้านคน หรือประมาณ 18% ของประชากรจีน 1,400 ล้านคน
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการเผยแพร่ข่าวจีนปกปิดยอดผู้เสียชีวิต ศพต้องรอคิวทำพิธีเผานานเป็นเดือน จนบางครอบครัวต้องเอาศพมาตั้งเผาริมถนน ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตุว่าข่าวเชิงลบเหล่านี้ล้วนมาจากต่างประเทศและไม่มีการอ้างอิงบุคคลหรือสถานที่ที่ชัดเจน
ตั้งการ์ดจีนเข้าประเทศ
สหรัฐอเมริกา ที่มองจีนเป็น“ภัยคุกคามความมั่นคง” ประกาศตั้งแต่ต้นปีว่าผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า จะต้องมีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นลบไม่ต่ำกว่า 48 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศเพื่อชะลอการระบาดในประเทศ
สหราชอาณาจักร ที่ลูกพี่อเมริกาว่ายังไงก็ทำตามนั้น โดยกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษประกาศว่า ผู้เดินทางมาจากจีนต้องตรวจหาเชื้อโควิดก่อนออกเดินทาง และตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม หน่วยงานด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขจะสุ่มตรวจโควิดผู้เดินทางที่มาจากจีน
สหภาพยุโรป(EU) ออกแถลงการณ์ว่า ผู้โดยสารที่เดินทางออกจากประเทศจีนจะต้องแสดงผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นลบก่อนเดินทางเข้าไปยัง 27 ประเทศในสหภาพยุโรป และในระหว่างเที่ยวบินอาจถูกขอให้สวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งอาจถูกสุ่มตรวจเมื่อเดินทางถึงประเทศปลายทาง
แคนาดาและออสเตรเลีย ออกคำสั่งให้มีการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนขึ้นเครื่องบิน สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากจีน ฮ่องกงและมาเก๊า
ญี่ปุ่น แม้จะเป็นประเทศที่มีผลสำรวจพบว่าชาวจีนอยากไปท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 1 หลังโควิด แต่รัฐบาลญี่ปุ่นมีประกาศตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2022 ว่า ผู้ที่เดินทางมาจากจีนจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองที่สนามบิน หากพบว่าผลตรวจเป็นบวกและมีอาการป่วยจำเป็นต้องกักตัวเป็นเวลา 7 วัน หากไม่มีอาการต้องกักตัว 5 วัน อีกทั้งยังคงเข้มงวดในเรื่องจำนวนเที่ยวบินจากจีนที่แม้จะมีความต้องการเพิ่มขึ้น
เกาหลีใต้ อีกหนึ่งประเทศที่ชาวจีนนิยมไปท่องเที่ยว แต่รัฐบาลโซลไม่แคร์ ออกประกาศเข้มข้นว่าตลอดเดือนมกราคม 2566 ผู้เดินทางจากจีนจะต้องตรวจหาเชื้อทั้งก่อนออกเดินทางและเมื่อเดินทางมาถึง โดยต้องมีผลตรวจแบบ PCR เป็นลบภายใน 48 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องบิน หรือผลตรวจแบบ ATK เป็นลบภายใน 24 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องบิน แล้วยังต้องตรวจแบบ PCR ในวันที่เดินทางถึงเกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังเข้มงวดการออกวีซ่าระยะสั้นให้แก่ชาวจีน ลดจำนวนเที่ยวบินเข้าจีน และทุกเที่ยวบินจากจีนจะต้องไปลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนในกรุงโซลเท่านั้น
อินเดีย คู่รักคู่แค้นของจีน ที่จำนวนประชากรภารตะจะแซงหน้าจีนในปีนี้ เกิดแรงกดดันจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านให้รัฐบาลออกมาตรการสำหรับผู้ที่เดินทางจากมาจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย ต้องแสดงผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ และหากพบว่ามีอาการป่วย หรือผลตรวจเป็นบวก ต้องกักตัวตามกำหนด
ที่เด็ดขาดแบบไม่ไว้หน้าจีนคือ “โมร็อกโก” ชาติในแอฟริกา ถึงขนาดสั่งห้ามผู้ที่เดินทางจากจีนเข้าประเทศ ไม่ว่าจะมีสัญชาติใดก็ตาม เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมเป็นต้นไป อ้างเหตุผลว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
จีนออกมาตรการตอบโต้
มาตรการป้องกันโควิดที่พุ่งเป้ามายังจีนดังกล่าวมีผลให้รัฐบาลจีนต้องออกแถลงการณ์ประณามประเทศต่าง ๆพร้อมเตือนว่า “อาจเจอมาตรการตอบโต้”
เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงต่อสื่อมวลชนว่า การที่บางประเทศวางข้อจำกัดในการเข้าประเทศที่มุ่งเป้ามาที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น นับเป็นการขาดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งจีนบอกว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
ล่าสุดสถานทูตจีนในกรุงโซล เกาหลีใต้ และสถานทูตจีนในกรุงโตเกียว ญี่ปุ่น ได้ประกาศระงับวิซ่าระยะสั้นแก่ชาวเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ต้องการเดินทางเข้าจีน จนกว่าจะมีการยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าประเทศที่ “เลือกปฏิบัติ” ต่อจีน
หมอหนูกล้าๆ–กลัวๆ
สำหรับประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายต้นๆที่ชาวจีนอยากมาเยือนนั้น กระทรวงสาธารณสุขไทยภายใต้การกำกับดูแลของ “หมอหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แสดงอาการทั้งอยากหารายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่รอมา 3 ปี ทั้งกลัวโควิดที่อาจจะติดมาจากจีนเข้ามาระบาดระลอกใหม่ ฝ่ายสาธารณสุขจึงประกาศปรับเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศไทย
มาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 9 มกราคม 2566 ได้แก่ การตรวจเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนโควิด -19 อย่างน้อย 2 เข็ม และหากประเทศต้นทางมีเงื่อนไขผลตรวจ RT-PCR เป็นลบก่อนกลับ ต้องซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการตรวจรักษาโรคโควิด-19
เพื่อแสดงให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวมิได้ “เลือกปฏิบัติ”เฉพาะกับชาวจีน จึงจำเป็นต้องใช้กับนักท่องเที่ยวทุกชาติทุกภาษา ซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยาทันทีจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่อ้างบริษัททัวร์ต่างชาติร้องมาว่า มาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขบังคับใช้อย่างกะทันหันจะส่งผลให้มีการยกเลิกห้องพักและเที่ยวบินมาไทยซึ่งจะกระทบต่อรายได้เข้าประเทศ
ทันทีที่มีเสียงร้องเรียน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับลูกภาคเอกชนชงเรื่องต่อ “หมอหนู” ให้ยกเลิกคำสั่งกลับไปใช้มาตรการเดิมภายในวันเดียว
จง ไท่ อี้ เจีย ชิน
ป้ายต้อนรับที่สนามบินสุวรรณภูมิที่เขียนเป็นภาษาจีนอ่านว่า “จง ไท่ อี้ เจีย ชิน” แปลว่า “จีนไทยครอบครัวเดียวกัน” พร้อมแถวต้อนรับจากบรรดารัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยที่นำโดย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงข้าราชการหัวแถวของทั้ง 3 กระทรวง ย่อมสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวจีนชุดแรก 269 คนจากเมืองเซี่ยเหมิน
อนุทินและคณะเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยแสดงจุดยืนชัดเจนว่า “ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างเป็นมิตร” ไทยยึดหลักปฏิบัติกับผู้เดินทางจากทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน
หมอหนูประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนคงไม่ได้หลั่งไหลมาไทยพร้อมๆกันอย่างเมื่อก่อน มีการคาดการณ์ว่าเดือนมกราคมแม้จะตรงเทศกาลตรุษจีนแต่คงมาเพียง 4 หมื่นคน เดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 5 หมื่นคน และจะค่อยๆเพิ่มขึ้นในไตรมาสสองหรือช่วงครึ่งปีหลัง โดยทั้งปีน่าจะถึง 7 -10 ล้านคน
เคยมีรายงานผลสำรวจชาวจีนว่า เมื่อเปิดประเทศแล้วชาวจีนมากกว่า 50% จะรอดูสถานการณ์ไปก่อนหลายเดือนหรือเป็นปีแล้วค่อยตัดสินใจเดินทางต่างประเทศอีกครั้ง ผลวิจัยอีกชิ้นระบุว่า การเดินทางออกต่างประเทศของชาวจีนจะยังไม่กลับสู่ระดับปกติจนกว่าจะถึงปี 2024
ปีกระต่ายทองจีน–ไทย
ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่เน้นตลาดจีนท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า ต้องติดตามผลของนักท่องเที่ยวชุดแรกที่บินเข้าไทยเมื่อวันที่ 9 มกราคม จำนวน 3,465 คน และที่จะตามมาอีกนับแสนคนในช่วงตรุษจีน 18-21 มกราคม 2566 ซึ่งสายการบินจีนได้จองตารางบินเข้าไทยไว้ 388 เที่ยวบิน ว่าเมื่อมาแล้วพบการติดเชื้อโควิดแค่ไหน ผู้ที่ติดเชื้อมีอาการรุนแรงมากน้อยแค่ไหน จะเป็นคำตอบว่าอนาคตที่นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยอีก 11 เดือนจะเป็นอย่างไร ประการสำคัญคือนโยบายรัฐบาลจีนจะอนุมัติให้บริษัททัวร์จีนกลับมาดำเนินการตามปกติหรือไม่ เพราะทุกวันนี้ยังคงควบคุมการจัดทัวร์จีนกรุ๊ปใหญ่ออกนอกประเทศ
ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด นักท่องเที่ยวจีนมาไทย 11 ล้านคน เมื่อจีนเปิดประเทศคาดว่าปี 2566 นี้ชาวจีนจะกลับมาเยือนไทยอีกครั้งไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน ขณะที่หลายคนเชื่อว่าอาจจะถึง 7-8 ล้านคน เพราะอัดอั้นมานานถึง 3 ปีแล้ว ขณะที่เป้าหมายอื่นที่คนจีนอยากไปเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ต่างก็ยังรังเกียจจีนกลัวนำเชื้อโควิดเข้าไปแพร่ระบาด ออกมาตรการที่เลือกปฏิบัติซึ่งจะกลายเป็นแรงผลักดันให้ชาวจีนเลือกที่จะมาไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นตัวเลขปลายปีอาจจะพุ่งทะลุ 11 ล้านคนเป็นสถิติใหม่เป็น “ปีกระต่ายทอง”ของการท่องเที่ยวก็เป็นไปได้
“ฮวน หยิง กวน หลิน” ยินดีต้อนรับผู้มาเยือน คนไทยหวังให้พี่น้องชาวจีนมาเที่ยวเมืองไทยอย่างสนุกสนาน อย่างปลอดโรคปลอดภัย
*****************