Digiqole ad

จง ไท่ อี้ เจีย ชิน

 จง ไท่ อี้ เจีย ชิน
Social sharing

Digiqole ad

        ก่อนจีนเปิดประเทศไม่กี่วัน แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีชาวจีนผู้ก่อตั้งอาลีบาบา  แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ชื่อดังระดับโลก ที่เคยมีข่าวว่าใหญ่รวยจนลืมตัวเผลอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนจนถูกเล่นงานหนัก  ถูกเอาตัวไปปรับทัศนคติ  ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบไปพักใหญ่  บางข่าวว่าได้ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศแล้ว  

 

          แต่หลังปีใหม่แจ็ค หม่า ได้มาปรากฏตัวที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยมีภาพเผยแพร่ว่าได้ไปชมการชกมวยที่เวทีมวยราชดำเนิน  ได้ถ่ายภาพร่วมกับ “บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยไทยชื่อก้องโลก  รวมทั้งไปรับประทานอาหารที่ร้าน“เจ๊ไฝ” ไข่เจียวปูจานละพันระดับมิชลินสตาร์ กลายเป็นกระแสฮือฮาไปทั่วโลก 

          นับเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจช่วยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย  ในจังหวะที่จีนประกาศเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 สำหรับการเดินทางเข้า-ออกจีน  ถือเป็นจังหวะทองที่ไทยรอต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้งในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งมีผลให้จีนปิดประเทศมายาวนาน 

เหตุจีนรีบเปิดประเทศ

          ก่อนหน้านี้นานาประเทศพากันประหลาดใจว่าทำไมจีนตัดสินใจเปิดประเทศอย่างกะทันหันจนแม้แต่คนจีนเองก็ยังงงๆว่าท่านผู้นำสี จิ้นผิง เอายังไงกันแน่      เรื่องนี้ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า  การที่จีนเปิดประเทศอย่างทันทีทันควันหลังจากผ่อนคลายความเข้มงวดมาตรการโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID)  เพราะการปิดประเทศยาวนาน 3 ปีเริ่มส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ  พลังการบริโภคของประชาชนเริ่มถดถอยจนเกิดการเดินขบวนเรียกร้อง  มีผลให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องทบทวนและตอบสนองต่อเสียงของประชาชน

          “ช่วงที่ปิดประเทศมีเสียงเรียกร้องจากทั่วโลกแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาที่ทำสงครามการค้ากับจีน  ให้จีนเปิดประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านการค้าการลงทุน  จีนเองก็รู้ดีว่าการเปิดประเทศจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยทันที  และสไตล์ของจีนที่ตัดสินใจรวดเร็ว  ก็เหมือนตอนประกาศปิดที่ทำอย่างรวดเร็วเช่นกัน  ส่วนเรื่องโควิดนั้นมีข้อมูลแล้วว่าผู้ติดเชื้อในจีนส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงรักษาไม่กี่วันก็หาย  และอยู่ในวิสัยที่ระบบสาธารณสุขรับมือได้”

          รศ.ดร.ปิติ ให้ความเห็นด้วยว่าปีแรกที่ปิดประเทศจีนได้ประโยชน์เพราะฟื้นตัวไวขณะที่ทั่วโลกกำลังแพร่ระบาดหนัก  แต่พอโลกฟื้นตัวและผ่อนคลายขณะที่จีนยังปิดประเทศ  ยังคุมเข้มเรื่องโควิด  อีกทั้งยังทำตัวเองในเรื่องควบคุมฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์  มีปัญหาเสถียรภาพสถาบันการเงิน  คุมเข้มภาคธุรกิจ  ระบบเศรษฐกิจของจีนจึงเริ่มเหนื่อยอ่อน 

           ปี 2023 จีนจะกลับมาวิ่งได้อย่างเต็มที่เศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้ 5-7%  เพราะได้จัดการปัญหาใหญ่ๆอย่างเรื่องอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินแล้ว  ในประเทศก็ไม่มีปัญหาเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพ  เมื่อเทียบกับยุโรปและสหรัฐฯที่ยังเป็นปัญหาใหญ่

ปั่นข่าวถล่มจีน

           การที่จีนประกาศเปิดประเทศแบบปัจจุบันทันด่วนโดยมีการประโคมโหมข่าวว่าเชื้อโควิดยังระบาดในจีน  มีผลให้นานาประเทศมองจีนเป็น “ปัจจัยเสี่ยง”ว่าจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้ง   

          ผู้เชี่ยวชาญฝั่งตะวันตกประเมินว่าแต่ละวันจีนมีผู้ติดเชื้อหลายล้านคน รวมถึงคาดว่าปี 2023 จีนอาจมีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดอย่างน้อย 1 ล้านคน  บริษัทข้อมูลด้านสาธารณสุขอังกฤษรายหนึ่งระบุว่า อาจมีชาวจีนเสียชีวิตสูงถึง 9,000 คนต่อวัน          

          สำนักข่าวใหญ่ของอังกฤษ 2 แห่งเผยแพร่ข่าวโดยอ้างแหล่งข่าววงในของ “คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน”( NHC) ว่าในช่วงเดือนธันวาคม 2022 ที่ผ่านมามีชาวจีนที่อาจติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่สูงถึง 250 ล้านคน หรือประมาณ 18% ของประชากรจีน 1,400 ล้านคน 

          ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการเผยแพร่ข่าวจีนปกปิดยอดผู้เสียชีวิต  ศพต้องรอคิวทำพิธีเผานานเป็นเดือน  จนบางครอบครัวต้องเอาศพมาตั้งเผาริมถนน  ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตุว่าข่าวเชิงลบเหล่านี้ล้วนมาจากต่างประเทศและไม่มีการอ้างอิงบุคคลหรือสถานที่ที่ชัดเจน

ตั้งการ์ดจีนเข้าประเทศ

          สหรัฐอเมริกา ที่มองจีนเป็น“ภัยคุกคามความมั่นคง” ประกาศตั้งแต่ต้นปีว่าผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า จะต้องมีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นลบไม่ต่ำกว่า 48 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศเพื่อชะลอการระบาดในประเทศ 

          สหราชอาณาจักร ที่ลูกพี่อเมริกาว่ายังไงก็ทำตามนั้น  โดยกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษประกาศว่า  ผู้เดินทางมาจากจีนต้องตรวจหาเชื้อโควิดก่อนออกเดินทาง และตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม หน่วยงานด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขจะสุ่มตรวจโควิดผู้เดินทางที่มาจากจีน    

          สหภาพยุโรป(EU) ออกแถลงการณ์ว่า ผู้โดยสารที่เดินทางออกจากประเทศจีนจะต้องแสดงผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นลบก่อนเดินทางเข้าไปยัง 27 ประเทศในสหภาพยุโรป  และในระหว่างเที่ยวบินอาจถูกขอให้สวมหน้ากากอนามัย  รวมทั้งอาจถูกสุ่มตรวจเมื่อเดินทางถึงประเทศปลายทาง                      

           แคนาดาและออสเตรเลีย  ออกคำสั่งให้มีการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนขึ้นเครื่องบิน สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากจีน ฮ่องกงและมาเก๊า

          ญี่ปุ่น แม้จะเป็นประเทศที่มีผลสำรวจพบว่าชาวจีนอยากไปท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 1 หลังโควิด  แต่รัฐบาลญี่ปุ่นมีประกาศตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2022 ว่า   ผู้ที่เดินทางมาจากจีนจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองที่สนามบิน  หากพบว่าผลตรวจเป็นบวกและมีอาการป่วยจำเป็นต้องกักตัวเป็นเวลา 7 วัน  หากไม่มีอาการต้องกักตัว 5 วัน  อีกทั้งยังคงเข้มงวดในเรื่องจำนวนเที่ยวบินจากจีนที่แม้จะมีความต้องการเพิ่มขึ้น

          เกาหลีใต้ อีกหนึ่งประเทศที่ชาวจีนนิยมไปท่องเที่ยว  แต่รัฐบาลโซลไม่แคร์  ออกประกาศเข้มข้นว่าตลอดเดือนมกราคม 2566  ผู้เดินทางจากจีนจะต้องตรวจหาเชื้อทั้งก่อนออกเดินทางและเมื่อเดินทางมาถึง โดยต้องมีผลตรวจแบบ PCR เป็นลบภายใน 48 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องบิน หรือผลตรวจแบบ ATK  เป็นลบภายใน 24 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องบิน   แล้วยังต้องตรวจแบบ PCR ในวันที่เดินทางถึงเกาหลีใต้  นอกจากนี้ยังเข้มงวดการออกวีซ่าระยะสั้นให้แก่ชาวจีน  ลดจำนวนเที่ยวบินเข้าจีน และทุกเที่ยวบินจากจีนจะต้องไปลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนในกรุงโซลเท่านั้น

          อินเดีย  คู่รักคู่แค้นของจีน  ที่จำนวนประชากรภารตะจะแซงหน้าจีนในปีนี้  เกิดแรงกดดันจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านให้รัฐบาลออกมาตรการสำหรับผู้ที่เดินทางจากมาจีน ฮ่องกง  ญี่ปุ่น  เกาหลีใต้  และไทย ต้องแสดงผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ และหากพบว่ามีอาการป่วย หรือผลตรวจเป็นบวก ต้องกักตัวตามกำหนด

          ที่เด็ดขาดแบบไม่ไว้หน้าจีนคือ “โมร็อกโก” ชาติในแอฟริกา ถึงขนาดสั่งห้ามผู้ที่เดินทางจากจีนเข้าประเทศ ไม่ว่าจะมีสัญชาติใดก็ตาม เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมเป็นต้นไป  อ้างเหตุผลว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่

จีนออกมาตรการตอบโต้

           มาตรการป้องกันโควิดที่พุ่งเป้ามายังจีนดังกล่าวมีผลให้รัฐบาลจีนต้องออกแถลงการณ์ประณามประเทศต่าง ๆพร้อมเตือนว่า “อาจเจอมาตรการตอบโต้” 

          เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  การที่บางประเทศวางข้อจำกัดในการเข้าประเทศที่มุ่งเป้ามาที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น   นับเป็นการขาดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งจีนบอกว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน

          ล่าสุดสถานทูตจีนในกรุงโซล เกาหลีใต้  และสถานทูตจีนในกรุงโตเกียว ญี่ปุ่น  ได้ประกาศระงับวิซ่าระยะสั้นแก่ชาวเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ต้องการเดินทางเข้าจีน  จนกว่าจะมีการยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าประเทศที่ “เลือกปฏิบัติ” ต่อจีน

หมอหนูกล้าๆกลัวๆ

          สำหรับประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายต้นๆที่ชาวจีนอยากมาเยือนนั้น  กระทรวงสาธารณสุขไทยภายใต้การกำกับดูแลของ หมอหนูอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แสดงอาการทั้งอยากหารายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่รอมา 3 ปี  ทั้งกลัวโควิดที่อาจจะติดมาจากจีนเข้ามาระบาดระลอกใหม่   ฝ่ายสาธารณสุขจึงประกาศปรับเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศไทย  

          มาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 9 มกราคม 2566  ได้แก่ การตรวจเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนโควิด -19 อย่างน้อย 2 เข็ม   และหากประเทศต้นทางมีเงื่อนไขผลตรวจ RT-PCR เป็นลบก่อนกลับ ต้องซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการตรวจรักษาโรคโควิด-19

          เพื่อแสดงให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวมิได้เลือกปฏิบัติเฉพาะกับชาวจีน  จึงจำเป็นต้องใช้กับนักท่องเที่ยวทุกชาติทุกภาษา  ซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยาทันทีจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่อ้างบริษัททัวร์ต่างชาติร้องมาว่า  มาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขบังคับใช้อย่างกะทันหันจะส่งผลให้มีการยกเลิกห้องพักและเที่ยวบินมาไทยซึ่งจะกระทบต่อรายได้เข้าประเทศ    

           ทันทีที่มีเสียงร้องเรียน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  รับลูกภาคเอกชนชงเรื่องต่อหมอหนูให้ยกเลิกคำสั่งกลับไปใช้มาตรการเดิมภายในวันเดียว         

จง ไท่ อี้ เจีย ชิน

          ป้ายต้อนรับที่สนามบินสุวรรณภูมิที่เขียนเป็นภาษาจีนอ่านว่า จง ไท่ อี้ เจีย ชินแปลว่า จีนไทยครอบครัวเดียวกัน  พร้อมแถวต้อนรับจากบรรดารัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยที่นำโดย อนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  รวมถึงข้าราชการหัวแถวของทั้ง 3 กระทรวง  ย่อมสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวจีนชุดแรก 269 คนจากเมืองเซี่ยเหมิน

          อนุทินและคณะเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยแสดงจุดยืนชัดเจนว่ายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างเป็นมิตรไทยยึดหลักปฏิบัติกับผู้เดินทางจากทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน

          หมอหนูประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนคงไม่ได้หลั่งไหลมาไทยพร้อมๆกันอย่างเมื่อก่อน  มีการคาดการณ์ว่าเดือนมกราคมแม้จะตรงเทศกาลตรุษจีนแต่คงมาเพียง 4 หมื่นคน  เดือนกุมภาพันธ์ประมาณ  5 หมื่นคน และจะค่อยๆเพิ่มขึ้นในไตรมาสสองหรือช่วงครึ่งปีหลัง  โดยทั้งปีน่าจะถึง 7 -10 ล้านคน 

          เคยมีรายงานผลสำรวจชาวจีนว่า  เมื่อเปิดประเทศแล้วชาวจีนมากกว่า 50%  จะรอดูสถานการณ์ไปก่อนหลายเดือนหรือเป็นปีแล้วค่อยตัดสินใจเดินทางต่างประเทศอีกครั้ง  ผลวิจัยอีกชิ้นระบุว่า  การเดินทางออกต่างประเทศของชาวจีนจะยังไม่กลับสู่ระดับปกติจนกว่าจะถึงปี 2024

ปีกระต่ายทองจีนไทย

         ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่เน้นตลาดจีนท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า  ต้องติดตามผลของนักท่องเที่ยวชุดแรกที่บินเข้าไทยเมื่อวันที่ 9 มกราคม จำนวน 3,465 คน  และที่จะตามมาอีกนับแสนคนในช่วงตรุษจีน 18-21 มกราคม 2566 ซึ่งสายการบินจีนได้จองตารางบินเข้าไทยไว้ 388 เที่ยวบิน  ว่าเมื่อมาแล้วพบการติดเชื้อโควิดแค่ไหน  ผู้ที่ติดเชื้อมีอาการรุนแรงมากน้อยแค่ไหน   จะเป็นคำตอบว่าอนาคตที่นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยอีก 11 เดือนจะเป็นอย่างไร   ประการสำคัญคือนโยบายรัฐบาลจีนจะอนุมัติให้บริษัททัวร์จีนกลับมาดำเนินการตามปกติหรือไม่  เพราะทุกวันนี้ยังคงควบคุมการจัดทัวร์จีนกรุ๊ปใหญ่ออกนอกประเทศ

          ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด นักท่องเที่ยวจีนมาไทย 11 ล้านคน  เมื่อจีนเปิดประเทศคาดว่าปี 2566 นี้ชาวจีนจะกลับมาเยือนไทยอีกครั้งไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน  ขณะที่หลายคนเชื่อว่าอาจจะถึง 7-8 ล้านคน เพราะอัดอั้นมานานถึง 3 ปีแล้ว  ขณะที่เป้าหมายอื่นที่คนจีนอยากไปเช่น ญี่ปุ่น  เกาหลีใต้  สหรัฐอเมริกา  ต่างก็ยังรังเกียจจีนกลัวนำเชื้อโควิดเข้าไปแพร่ระบาด  ออกมาตรการที่เลือกปฏิบัติซึ่งจะกลายเป็นแรงผลักดันให้ชาวจีนเลือกที่จะมาไทยมากยิ่งขึ้น  ดังนั้นตัวเลขปลายปีอาจจะพุ่งทะลุ 11 ล้านคนเป็นสถิติใหม่เป็น “ปีกระต่ายทอง”ของการท่องเที่ยวก็เป็นไปได้

         “ฮวน หยิง กวน หลิน” ยินดีต้อนรับผู้มาเยือน   คนไทยหวังให้พี่น้องชาวจีนมาเที่ยวเมืองไทยอย่างสนุกสนาน  อย่างปลอดโรคปลอดภัย

                                                         *****************

         

Facebook Comments


Social sharing

Related post