Digiqole ad

งานสัปดาห์หนังสือฯ ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ โกยยอดขาย 400 ลบ.

 งานสัปดาห์หนังสือฯ ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ โกยยอดขาย 400 ลบ.
Social sharing

Digiqole ad

ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ งานสัปดาห์หนังสือฯ ครั้งที่ 52 โกยทุกความสำเร็จนักอ่านทะลักเป้า 1.3 ล้านคน ตลอดการจัดงาน 12 วัน ดันยอดขายทะลุ 400 ล้านบาท สวนทางเศรษฐกิจทรุด นิยายวาย-การ์ตูน แชมป์ขายดีต่อเนื่อง ด้านสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ สุดปลื้มเวที “Bangkok Rights Fair” เจรจาซื้อขายลิขสิทธิ์ครั้งแรกในไทยผลสำเร็จระดับสูง ยอดซื้อ-ขายสะพัดกว่า 351 ล้านบาท ไต้หวันเปย์หนัก ชิงนิยายวาย ดันนักเขียนไทยตีตลาดหนังสือโลก

นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นตลอดการจัดงานทั้ง 12 วัน โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักพิมพ์ 322 แห่ง จำนวนบูธรวม 914 บูธ หนังสือมากกว่า 1 ล้านเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือปกใหม่มากกว่า 3,000 ปก ขณะที่มีผู้เข้าชมงานทั้งคนไทยและต่างชาติหลั่งไหลเข้างานทุกวัน ทำให้บรรยากาศการเลือกซื้อหนังสือเป็นไปอย่างคึกคัก ส่งผลให้โดยรวมแล้วมีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้น 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 10%

ด้านสำนักพิมพ์งัดกลยุทธ์กระตุ้นกำลังซื้อด้วยโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม พร้อมจัดทำของพรีเมี่ยมสุดพิเศษเฉพาะในงาน ส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัดมากกว่า 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับงานปีก่อน สวนทางกับเศรษฐกิจที่ชะลอลง สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พฤติกรรมการอ่านของคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยหนังสือที่รับความนิยมสูงสุดยังคงเป็น หนังสือนวนิยายและวรรณกรรมสัดส่วน 38% โดยหนังสือวายทุกประเภทเนื้อหา ได้รับความนิยมสูงสุด 21% รองลงมาคือหนังสือการ์ตูนและไลท์โนเวล 21% และหนังสือประเภทเสริมทักษะ (How to) 18% หนังสือเด็กและคู่มือการเรียน 13% และหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ 10%

“งานสัปดาห์หนังสือฯ เป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งเราเองมีแนวโน้มที่จะขยายพื้นที่ขายหนังสือออกไปอีกในอนาคต เพราะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยดูได้จากความสำเร็จในงานนี้ทั้งในแง่ของผู้ร่วมงานและยอดขาย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการผลักดันให้มูลค่าตลาดหนังสือไทยในปีนี้แตะระดับ 17,000 ล้านบาท และพิสูจน์ได้ว่าคนไทยอ่านหนังสือมากกว่า 8 บรรทัดต่อปี” นายสุวิช กล่าว

นายธีรนัย โสตถิปิณฑะ เลขาธิการสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ กล่าวว่า การเติบโตของตลาดหนังสือไทยยังมีแนวโน้มที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจในโครงการวิจัยพฤติกรรมการอ่านและการซื้อหนังสือของคนไทย ในปี 2567 ซึ่งสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ร่วมกับคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทุกเพศวัยจำนวน 2,550 คนทั่วประเทศ อายุตั้งแต่ 12-50 ปี ระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2567 พบว่า คนไทยมีพฤติกรรมการอ่านรวมทุกกลุ่มอายุเฉลี่ย 113 นาที ต่อวัน หรือเกือบ 2 ชั่วโมงต่อวัน โดยสัดส่วน 45% เป็นการอ่านทุกวัน โดยกลุ่มอายุ 12-19 ปี อ่านตำราเรียนและคู่มือเตรียมสอบในสัดส่วนที่สูงถึง 72% ส่วนอายุ 20-29 ปี, อายุ 30-39 ปี และอายุ 40-49 ปี อ่านหนังสือพัฒนาตัวเองสูงที่สุดในสัดส่วน 52%, 57% และ 51% ตามลำดับ ส่วนกลุ่ม 50 ปีขึ้นไป 58% อ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม พบว่าทุกกลุ่มอายุเลือกอ่านหนังสือรูปเล่มในสัดส่วนที่สูงถึง 50% และอีบุ๊ค 47% แต่เมื่อแยกเป็นรายกลุ่มกลับพบว่า กลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปเลือกอ่านหนังสือผ่านอีบุ๊คสูงถึง 58% เนื่องจากสามารถขยายตัวหนังสือได้ รวมทั้งมีความสบายตาในขณะอ่านและ 38% เป็นการอ่านในรูปเล่ม ส่วนกลุ่มอายุ 40-49 ปี อ่านหนังสือและอีบุ๊คในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 48% กลุ่มอายุ 30-39 ปี อ่านหนังสือรูปเล่ม 54% และอีบุ๊ค 43% กลุ่มอายุ 20-29 ปี อ่านรูปเล่ม 51% และอีบุ๊ค 47% ในขณะที่อายุ 12-19 ปีเลือกอ่านหนังสือรูปเล่มและอีบุ๊ค ในสัดส่วน ใกล้เคียงกันคือ 47% และ 48%

“ เดิมเราเคยคิดว่ากลุ่มเด็กจะนิยมอ่านอีบุ๊คมากกว่าหนังสือรูปเล่ม แต่จากผลสำรวจกลับพบว่ากลุ่มที่อ่านอีบุ๊คมากกว่า กลับเป็นผู้ใหญ่ เพราะสายตายาว ซึ่งอีบุ๊กสามารถขยายตัวหนังสือทำให้อ่านง่ายขึ้น ในขณะที่วัยรุ่น ต้องการลดพฤติกรรมการติดจอ จึงหันมาอ่านหนังสือเป็นรูปเล่มมากขึ้น จากผลงานวิจัยการอ่านจากประชาชนทั่วประเทศ ทำให้พบข้อมูลใหม่ว่าคนไทยไม่ได้อ่านหนังสือแค่ 8 บรรทัดอีกต่อไป” นายธีรนัย กล่าว

ด้าน น.ส.ดวงพร สุทธิสมบูรณ์ อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ กล่าวว่า สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ประสบความสำเร็จในระดับสูงมากต่อการจัดงาน Bangkok Rights Fair 2024 จับคู่เจรจาซื้อขายแลกเปลี่ยนลิขสิทธิ์หนังสือและคอนเทนต์นานาชาติ ระหว่างสำนักพิมพ์ไทยและตัวแทนจำหน่ายจากต่างประเทศ ในรูปแบบ Business to Business เพื่อนำไปแปลและจัดพิมพ์เป็นหนังสือภาษาต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงผลิตในรูปแบบของซีรีส์ ภาพยนตร์ ฯลฯ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติฯ ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB โดยมีสำนักพิมพ์ และเอเจนซี่ลิขสิทธิ์ต่างประเทศเข้าร่วมงาน 13 ประเทศ รวม 33 ราย และสำนักพิมพ์ไทย 50 ราย ส่งผลให้เกิดการเจรจาทางการค้าทั้งสิ้น 500 คู่ โดยประเมินยอดซื้อขายลิขสิทธิ์ในเบื้องต้นประมาณ 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 49 ล้านบาท (คำนวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ) แต่มูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงจะสูงกว่านี้ โดยตั้งเป้าหมายที่ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 351 ล้านบาท

ทั้งนี้ หนังสือเด็กได้รับความสนใจในการซื้อขายลิขสิทธิ์สูงสุด ในขณะที่สำนักพิมพ์ และเอเจนซี่ลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศไต้หวันได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อหนังสือนิยายวาย ผลงานจากนักเขียนไทย ทุกประเภทเนื้อหา ทั้งรักโรแมนติก สืบสวนสอบสวนและแฟนตาซี เนื่องจากนักเขียนไทยเป็นที่นิยมในตลาดนักอ่านไต้หวันอย่างมาก ในฝั่งไทยให้ความสนใจต่อการเจรจาลิขสิทธิ์หนังสือเด็ก หนังสือนิยายจาก เกาหลี จีนและญี่ปุ่น รวมทั้งหนังสือการ์ตูนจากญี่ปุ่นและเกาหลี ขณะที่พบว่าผู้เข้าร่วมงานทุกประเทศมีความพึงพอใจในระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่ 79% ยืนยันจะกลับมาร่วมงานอีกในครั้งหน้า

“กิจกรรมจับคู่เจรจาซื้อขายแลกเปลี่ยนลิขสิทธิ์หนังสือครั้งแรกในไทยถือว่าประสบความสำเร็จในระดับสูงมากทั้งในแง่มูลค่าและความพึงพอใจจากผู้เข้าร่วม แต่ผลประโยชน์ที่ได้มากกว่านั้นคือการสร้างโอกาสที่ดีให้กับผู้ประกอบการและนักเขียนไทยได้ก้าวสู่วงการหนังสือระดับโลก” น.ส.ดวงพร กล่าว

Facebook Comments


Social sharing

Related post