![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/06/แก้ปัญหาคอม.jpg)
งบ SME มีปัญหา!! ถ้ารัฐบาลไม่เข้าใจวิกฤติ ต่อให้เพิ่มเงินเข้าไป ก็ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่าภาษีประชาชน
![งบ SME มีปัญหา!! ถ้ารัฐบาลไม่เข้าใจวิกฤติ ต่อให้เพิ่มเงินเข้าไป ก็ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่าภาษีประชาชน](https://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/416483916_941889800833706_3064365437745964796_n-850x560.jpg)
![Digiqole ad](http://bangkok-today.com/wp-content/uploads/2024/01/Nishikawa_Banner728x90px.gif)
สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงการจัดสรรงบประมาณด้าน SMEs โดยระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี SME ทั้งหมด 3.2 ล้านราย และกำลังอยู่ในวิกฤตทั้งเชิงรายได้ ต้นทุน และหนี้สิน
.
สำหรับรายได้ของ SME นั้น ดูได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายให้รัฐ พบว่าลดลงต่อเนื่องทุกปี ส่วนในแง่ต้นทุน ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าต้นทุนพลังงาน ต้นทุนวัตถุดิบ เพิ่มสูงขึ้นมาก ในเชิงหนี้สิน ธุรกิจยิ่งเล็ก ยิ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง ลูกหนี้ SME ที่เดิมเป็นลูกหนี้ชั้นดี กำลังเสี่ยงมีปัญหาหนี้เสียมากกว่า 2 ล้านบัญชี
.
[ จัดงบลำเอียง กระจุกไม่กระจาย ]
.
ตนเชื่อว่านายกฯ ก็ทราบวิกฤตเหล่านี้ เพราะเอาไปพูดในหลายเวที แต่พอมาดูว่ารัฐบาลจัดงบอย่างไร กลับต้องเอ๊ะดังๆ เพราะปี 2567 รัฐบาลจัดงบให้ SME รวมทั้งสิ้น 8,744,797,500 บาท ภายใต้แผนแม่บทผู้ประกอบการและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยุคใหม่ มีหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณอย่างน้อย 29 หน่วยงาน โดยกองทุนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภายใต้สำนักงาน สสว. ได้งบมากสุดคือ 5,550 ล้านบาท คิดเป็น 62% ของงบ SME ทั้งหมด และน่าสังเกตว่าได้รับงบเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าจากปีที่ผ่านมา
.
ภายในงบ 5,550 ล้านบาทที่ สสว. ได้รับ จำนวน 5,000 ล้าน หรือเกือบ 60% ถูกนำไปทำโครงการ Matching Fund จนเรียกได้ว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวของรัฐบาลในการช่วยเหลือพี่น้อง SME ไทย ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของกองทุนนี้ ความน่าสนใจคือในตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการนี้ พบว่ามีเป้าหมายแค่ 600 คน
.
“การจัดสรรงบ SME แบบนี้มีปัญหา นอกจากจัดงบกระจัดกระจายถึง 29 หน่วยงาน ยังจัดงบลำเอียง เพราะมี SME เพียง 600 รายที่ได้งบ 5,000 ล้านบาท หรือเกือบ 60% ขณะที่งบที่เหลือสำหรับ SME 3.2 ล้านราย ได้ 3,744 ล้าน หรือแค่ 40% เท่านั้น เท่ากับ 600 รายได้งบเฉลี่ย 8-9 ล้านบาท ขณะที่ 3.2 ล้านราย ได้งบเฉลี่ย 1,170 บาทต่อรายเท่านั้น”
.
[ เครื่องหมายคำถามต่อศักยภาพของ สสว. ]
.
ที่สำคัญ ต้องตั้งคำถามให้หนักว่า สสว. มีศักยภาพในการบริหารงบดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากในช่วงปี 2560-2561 สสว. เคยออกโครงการปล่อยเงินกู้ฟื้นฟูผู้ประกอบการ SME วงเงิน 2,000 ล้านบาท ต่อมาปี 2563 ในรายงานผลประกอบการ สสว. โครงการดังกล่าวมีลูกหนี้ที่คาดว่าไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ รวมยอดหนี้ 352 ล้านบาท เรียกว่าผ่านไป 3 ปี โครงการวงเงิน 2,000 ล้าน ปล่อยได้แค่ครึ่งเดียว คือประมาณ 1,000 ล้าน และในจำนวนนั้นเป็นหนี้เสียไปถึงหนึ่งในสาม
.
“ผมพยายามหาข้อมูลที่ล่าสุดกว่านี้ แต่ในรายงานปีหลังจากนั้นของ สสว. ข้อมูลเหล่านี้หายไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าทำไมไม่รายงาน หรือเพราะบริหารดีมากจนหนี้หายไปหมดแล้ว”
.
นอกจากนี้ พอมาดูโครงการที่ สสว. ร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆ ซึ่งคล้ายกับ Matching Fund ที่รัฐบาลนี้นำเสนอ จากรายงานผู้สอบบัญชี สสว. ปี 2561 โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แสดงผลการดำเนินงานในบริษัทที่ สสว. ไปร่วมลงทุน 13 บริษัท พบว่าใน 13 บริษัท มี 5 บริษัท ที่สถานะล้มละลาย ร้าง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เสร็จสิ้นการชำระบัญชี
.
ในรายงานของ สตง. ยังระบุว่า ถ้าย้อนไปดูบริษัทที่ สสว. ร่วมลงทุนตั้งแต่ ปี 2550-2562 ทั้งหมด 39 บริษัท สสว. มีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาลงทุนไปแล้ว แถมยังส่งอัยการสูงสุดฟ้องร้องบริษัทร่วมค้าแล้วทั้ง 39 บริษัท เห็นอย่างนี้แล้วหนาว ไม่รู้จะหนาวแทน สสว. ที่ไปลงทุนแล้วเจ๊ง หรือสงสารบริษัท SME ที่ สสว. ไปลงทุนด้วย ไม่รู้ใครทำใครเจ๊งกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ทั้งหมดนี้คือภาษีประชาชน
.
ดังนั้น ข้อเสนอต่อรัฐบาลในประเด็นนี้คือ
(1) ขอให้ทบทวนการจัดสรรงบประมาณ ที่วันนี้กระจายอยู่ในหน่วยงานจำนวนมาก มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือ SME ได้จริงหรือไม่
(2) ขอให้ทบทวนการจัดสรรงบที่ลำเอียงสุดๆ SME 3.2 ล้านราย อยู่ตรงไหนในหัวใจของรัฐบาล เมื่อเทียบกับ 600 รายที่ได้ประโยชน์จากกองทุน 5,000 ล้านบาท
(3) ขอให้ทบทวนบทบาทและศักยภาพของ สสว. ในการสนับสนุนเงินทุนแก่ SME
.
โดยทางเลือกที่อาจดีกว่า คุ้มกว่าสำหรับงบ 5,000 ล้านบาทนี้ คือนำไปให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อช่วยค้ำประกันเงินกู้ให้ SME รายเล็กรายน้อยทั่วประเทศ เพราะวงเงิน 5,000 ล้านบาท บสย. สามารถไปสร้างวงเงินสินเชื่อได้ 20,000-25,000 ล้านบาท ถ้าช่วยรายละ 8 ล้านบาทเหมือน Matching Fund ก็ช่วยได้ 2,000-3,000 คน มีคนได้ประโยชน์มากกว่า 600 คนแน่ๆ
.
ที่สำคัญยังเป็นการใช้กลไกตลาดทำงาน ดูว่าผู้ประกอบการใดเหมาะสม ไม่ใช่บังเอิญมีใครมาจิ้ม 600 คนผู้โชคดี นอกจากนี้ ศักยภาพของสถาบันการเงินทั่วไป มีความสามารถในการประเมินสินเชื่อ จัดการหนี้เสียได้ดีกว่า สสว. แน่ๆ
.
[ กองทุนเพิ่มขีดฯ ก่อนขอเงินเพิ่ม ควรพิสูจน์ประสิทธิภาพ ]
.
ประเด็นถัดมา คืองบกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นายกฯ ถึงกับประกาศว่าจะเพิ่มงบให้กองทุนนี้ 1 แสนล้านบาท โดยเป็นความหวังคว้าอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ใหม่ๆ ของรัฐบาล ซึ่งอันที่จริงพวกเราพรรคก้าวไกล เห็นด้วยกับรัฐบาลและนายกฯ ในการดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ อุตสาหกรรมแห่งอนาคตเข้าประเทศ เพราะปัจจุบันความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในภาวะวิกฤต ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยโตต่ำต่อเนื่อง การขยายตัวของ GDP ลดลง การลงทุนต่ำลง การส่งออกนับวันยิ่งหดตัว โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีหลังรัฐประหาร
.
กองทุนเพิ่มขีดฯ มีเงิน 10,000 ล้านบาทเป็นทุนประเดิมตั้งแต่ 6 ปีก่อน ผ่านมา 6 ปี กองทุนใช้เงินไปราว 19 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนเหลือเงิน 9,980 ล้านบาทเศษ หรือพูดง่ายๆ ว่า 6 ปี ใช้ไม่ถึง 20 ล้าน หรือเพียง 0.19% เท่านั้น ที่สำคัญคือไม่มีโครงการขนาดใหญ่ ไม่มีโครงการที่เพิ่มขีดความสามารถของประเทศได้จริง
.
คำถามต่อนายกฯ คือ ก่อนจะขอเงินเพิ่ม กองทุนควรพิสูจน์ประสิทธิภาพให้เห็นก่อนหรือไม่ ว่าจะนำไปสู่การสร้างอุตสาหกรรมใหม่จริง ไม่ใช่เอาเงินไปแช่ไว้เฉยๆ ตลอด 6 ปีคือค่าเสียโอกาสของประเทศมหาศาล และจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าถ้าขอไป 15,000 ล้านบาท หรือ 100,000 ล้านบาทในอนาคต แล้วจะไม่เอาเงินไปแช่ไว้อย่างนี้อีก ทำประเทศเสียโอกาสอีก
.
“พรรคก้าวไกลยืนยันว่า หากท่านไม่ทราบปัญหา ไม่ลงรายละเอียด ต่อให้ท่านเติมเงินไป หมื่นล้าน แสนล้าน ก็ไม่อาจดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ได้”
.
ที่สำคัญ รัฐบาลควรกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ชัด ไม่เหวี่ยงแหแบบนี้ การตั้ง 13 อุตสาหกรรมเป้าหมายแบบปัจจุบัน ทั้งเยอะและกว้างเกินไป ผิดหลักการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย จากบทเรียนในต่างประเทศ มักกำหนดเพียง 3-5 อุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกันเท่านั้น จะช่วยให้สอดคล้องกับความจำกัดของงบประมาณและเจ้าหน้าที่ในการผลักดันให้ถึงเป้าหมายได้จริง
.
[ เพิ่มงบอย่างเดียว แก้ปัญหาของ SME ไม่ได้ ]
.
ทั้งหมดสรุปได้ว่า รัฐบาลจัดงบแบบไม่เข้าใจปัญหา ไม่เข้าใจวิกฤต
.
สิ่งที่รัฐบาลควรแก้ คือปัจจุบันการจัดงบประมาณสำหรับผู้ประกอบการรายเล็กนั้น “กระจุก” มี SME ได้ประโยชน์นิดเดียว รัฐบาลควรจัดใหม่ให้ประโยชน์ “กระจาย” หรือทั่วถึงกว่านี้
.
ส่วนรายใหญ่หรืออุตสาหกรรมเป้าหมาย จากปัจจุบันที่ “เหวี่ยงแห” รัฐบาลควรปรับใหม่ มุ่งอุตสาหกรรมให้ “ตรงเป้า” มากขึ้น
.
ที่สำคัญ การเพิ่มแต่งบประมาณอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้พี่น้อง SME หรือดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมายเข้าประเทศได้ รัฐบาลและนายกฯ ต้องเข้าใจปัญหา ลงรายละเอียด แก้ปัญหาของกลไกและองค์กร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นกองทุน สสว. หรือกองทุนเพิ่มขีดฯ กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
.
มีแต่การทำแบบนี้เท่านั้น ที่การเพิ่มเงินลงไป ถึงจะเกิดประโยชน์
ที่มา : เพจพรรคก้าวไกล
![อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน และ ข้อความ](https://scontent.fphs2-1.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/416483916_941889800833706_3064365437745964796_n.jpg?stp=dst-jpg_p526x296&_nc_cat=109&ccb=1-7&_nc_sid=3635dc&_nc_eui2=AeHRhN0-O5q3Nx6_jMoJr7vwci7RcBIgHjxyLtFwEiAePKNaCNqlkSt0mfSRWw5Sg5o&_nc_ohc=GDBD-QoE4mYAX_aty1X&_nc_ht=scontent.fphs2-1.fna&oh=00_AfCz7amW1HePSU4xcgFK9BnrMWSQHts3D9Q2ma8WrQJuCg&oe=65998C5B)
![](http://bangkok-today.com/wp-content/plugins/a3-lazy-load/assets/images/lazy_placeholder.gif)
![](http://bangkok-today.com/wp-content/plugins/a3-lazy-load/assets/images/lazy_placeholder.gif)
ความรู้สึกทั้งหมด
329
Facebook Comments