งบประมาณ’67 เบี้ยหัวแตก ไร้ยุทธศาสตร์ เหมือนไม่มีเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน สะท้อนรัฐบาลเศรษฐาเป็นเพียงรัฐบาล ‘รวมการเฉพาะกิจ’ แบ่งปันอำนาจ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ไม่มีวาระเป้าหมายทางนโยบายที่จะขับเคลื่อนร่วมกัน
ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ชัยธวัช ตุลาธน – Chaithawat Tulathon หัวหน้าพรรคก้าวไกลและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้อภิปรายคนแรกจากพรรคก้าวไกล กล่าวถึงภาพรวมการจัดทำงบประมาณ 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาทของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ว่าเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ไร้ยุทธศาสตร์ ไม่มีลำดับความสำคัญ เหมือนรัฐบาลทำงานอย่างไม่มีวาระเป้าหมายชัดเจน
.
ชัยธวัชระบุว่า ย้อนไปวันที่ 11 กันยายน 2566 นายกฯ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา บอกว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองภายในประเทศ สถานการณ์ของประเทศวันนี้มี 3 วิกฤตสำคัญ คือ (1) วิกฤตรัฐธรรมนูญ (2) วิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน (3) วิกฤตความขัดแย้งในสังคม นายกฯ บอกว่าเพื่อแก้ปัญหา สร้างความพร้อม และวางรากฐานอนาคตให้กับคนไทยทุกคน รัฐบาลมีกรอบนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วน
.
กรอบระยะสั้น รัฐบาลอ้างว่ามีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง ประกอบกับการเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว กรอบระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลจะเสริมขีดความสามารถให้กับประชาชน ผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้กับประชาชนทุกคน
.
ในวันนั้น พรรคก้าวไกลได้อภิปรายท้วงติงไว้ว่า นโยบายของรัฐบาลไม่เหมือนกับที่เคยหาเสียงเอาไว้ ไม่มีความชัดเจน ไม่มีรูปธรรมที่จับต้องได้ ซึ่งนายกฯ ก็บอกปัดเลี่ยงตอบว่าให้รอดูแผนรายกระทรวง จะมีความชัดเจนแน่นอน แต่เมื่อตามไปดูแผนรายกระทรวง กลับพบปัญหาเต็มไปหมด ไม่เป็นไปตามการอ้างของนายกฯ แม้แต่น้อย
.
เนื้อหาของแผนรายกระทรวง ไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ไม่สามารถวัดความสำเร็จของนโยบายได้จริง หรือไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายทางนโยบายที่ได้หาเสียงเอาไว้ หลายโครงการพบว่าเป็นโครงการเดิม ๆ ที่กระทรวงทำอยู่แล้วทุกปี เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ บ้างก็แอบยัดโครงการประจำของกระทรวงเข้ามา แล้วสวมรอยเป็นหนึ่งนโยบายที่รัฐบาลจะทำ สร้างความสเปะสปะกันระหว่างสิ่งที่รัฐบาลจะทำ กับ สิ่งที่เป็นงานประจำที่หน่วยงานทำอยู่แล้วทุกปี
.
อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลไม่ได้โทษหน่วยงานราชการ เพราะการบริหารบ้านเมืองให้บรรลุเป้าหมายในเชิงยุทธศาสตร์เรือธงของรัฐบาล รัฐบาลเองที่ต้องเป็นผู้นำ เพื่อให้ข้าราชการเป็นผู้ตามในการสนองนโยบายอย่างมีทิศทาง
.
ทั้งนี้ ก่อนเสนอร่าง พ.ร.บ.งบฯ ในวันนี้ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ครม. ได้มีมติสั่งทบทวน พ.ร.บ. งบ 67 ใหม่ทั้งหมด พร้อมทั้งปรับปรุงแนวทางการจัดทำงบประมาณ และปรับปรุงยุทธศาสตร์ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ซึ่งใช้เวลากว่า 3 เดือนในการปรับปรุง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ แต่สุดท้ายกลับพบว่าหน้าตาของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญใดๆ
.
ในวันแถลงนโยบาย นายกฯ บอกว่ารัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนซึ่งควรสะท้อนอยู่ในร่าง พ.ร.บ. งบประมาณนี้ แต่กลับต้องผิดหวัง เช่น การแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน แต่ถ้าดูเนื้อใน จะพบว่าเป็นการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ได้ตอบโจทย์จริงๆ แม้หัวข้อสวยหรู แต่ไส้ในตอบไม่ได้ว่าจะบรรลุเป้าหมายทางนโยบายอย่างไร ลักษณะเช่นนี้เกิดเต็มไปหมดในร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้
.
เช่นเดียวกับนโยบายเร่งด่วนในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน งบประมาณเพื่อชดเชยหนี้ให้ กฟผ. จากนโยบายลดค่าไฟ ก็ไม่ได้ถูกตั้งเอาไว้ หรือนโยบายเร่งด่วนที่บอกว่าจะให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งน่าจะต้องทำประชามติถึง 1-2 ครั้งในปีนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้ตั้งงบเอาไว้รอ กกต. ของบไป 2,000 ล้านบาท แต่ได้มาแค่ 1,000 ล้านบาท
.
ส่วนนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งตอนแถลงนโยบายบอกว่าจะไม่กู้ จะบริหารจากงบปกติ แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่มีการตั้งงบใดๆ ไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบ 67 ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลต้องรอว่าจะสามารถเสนอ พ.ร.บ.เงินกู้ 500,000 ล้านบาท เข้าสู่สภาฯ ได้หรือไม่
.
ถ้าดูภาพรวม ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3,480,000 ล้านบาท จะพบว่าเป็นงบเบี้ยหัวแตก สะเปะสะปะ ไม่มียุทธศาสตร์ เหมือนทำงานอย่างไม่มีวาระเป้าหมายชัดเจน
.
หลายเรื่องหน้าปกอาจจะดูดี แต่พอเข้าไปดูไส้ใน พบว่าไม่ได้ยึดโยงกับเป้าหมายทางนโยบาย ส่วนใหญ่เป็นโครงการเดิมๆ แต่เอามาเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนปกใหม่แบบมั่วๆ โครงการเก่าๆ เดิมๆ จับมาโยงกับเป้าหมายใหม่ แถมนับรวมทุกรายจ่ายแล้วเคลมว่าเป็นงบสำหรับการลงทุนใหม่ ที่ชอบทำกันมากที่สุด คืองบตัดถนน กลายเป็นงบโครงการวิเศษที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกยุทธศาสตร์แบบงงๆ
.
มีโครงการที่ถูกริเริ่มขึ้นใหม่ เพียง 200 โครงการ จากทั้งหมด 2000 โครงการ ซึ่งโครงการใหม่ส่วนใหญ่ก็ได้ริเริ่มมาบ้างแล้วก่อนที่จะมีรัฐบาลนี้ด้วยซ้ำ โดยเป็นโครงการที่หน่วยงานราชการเสนอขึ้นมา ไม่ใช่การผลักดันเพื่อขับเคลื่อนวาระใหม่ของรัฐบาล ดังนั้น เราพบว่าการผลักดันโครงการใหม่ที่สะท้อนวาระของรัฐบาลจริงๆ จึงมีน้อยมาก
.
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอื่น เช่น คาดการณ์รายได้เกินจริง เกินไปมากถึงประมาณหนึ่งแสนล้านบาท ทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะเพิ่มแผนรายจ่ายให้ได้สูงขึ้นนั่นเอง แต่ขณะเดียวกัน รายการที่รัฐบาลต้องจ่ายจริงๆ กลับตั้งงบประมาณ หรือคาดการณ์ไว้อย่างไม่เพียงพอ เช่น บำเหน็จบำนาญ เงินเดือนราชการ งบสวัสดิการต่างๆ ซึ่งวิธีการนี้ ถอดแบบความักง่ายมาจากรัฐบาลที่แล้วที่ทำแบบนี้เช่นกัน สุดท้ายจึงต้องตั้งงบประมาณรายจ่าย เพื่อชดเชยใช้หนี้เงินคงคลังในภายหลัง
.
หลายนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ หายไปอย่างไร้ร่องในงบฯปีนี้ นโยบายเพิ่มเงินเดือนราชการ 10% ค่าชดเชยภาษีรถไฟฟ้า (EV) ค่าไฟชดเชยหนี้ กฟผ. จากนโยบายลดค่าไฟ งบซอฟต์พาวเวอร์ที่โฆษณาไว้ว่าจะตั้งงบกว่า 5,000 ล้านบาท ก็ไม่เห็นในงบฉบับนี้ รายจ่ายที่ไม่ได้ตั้งงบไว้พวกนี้ รวมๆ แล้วไม่น่าจะน้อยกว่า 1 แสนล้านบาท สุดท้ายก็ต้องปัดไปเป็นรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในปีถัดไป สุดท้ายก็จะไปใช้เงินจากงบกลาง ทุกอย่างโยนไปใช้งบกลาง รัฐบาลที่แล้วก็ทำแบบนี้
.
ด้วยสภาพเช่นนี้ เราจึงมองไม่เห็นวาระเป้าหมายของรัฐบาลผ่านการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณฉบับนี้
.
อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุนโยบายเป้าหมายนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณเยอะเสมอไป บางเรื่องเป็น non-budget policy ได้
.
“อย่างเช่น รัฐบาลแถลงนโยบายเร่งด่วนว่า จะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม (Rule of Law) แต่วันนี้ไม่แน่ใจแล้วว่า รัฐบาลกำลังจะทำให้สถานการณ์เรื่องระบบนิติธรรมนิติรัฐย่ำแย่ลงไปอีกหรือเปล่า เพราะสังคมกำลังถูกตอกย้ำให้ยอมรับกระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน ถูกตอกย้ำว่าเราต้องยอมรับอยู่ในระบบกฎหมายหรือเรือนจำที่มีไว้ใช้สำหรับประชาชนสามัญที่ไม่ได้มีอำนาจ บารมี หรือฐานะเงินทองเท่านั้น”
.
ตลอด 3 วันนี้ เพื่อนสมาชิกพรรคก้าวไกลและพรรคฝ่ายค้านทั้งหมด จะอภิปรายแจกแจงชำแหละให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าทำไมร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฉบับนี้ถึงมีปัญหาอย่างที่กล่าวมา แต่ตนอยากทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ปัญหาของ พ.ร.บ.งบประมาณ ยังสะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น
.
กล่าวคือ ที่เรามองไม่เห็นวาระเป้าหมายของรัฐบาลผ่านการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณฉบับนี้ สะท้อนให้เห็นว่า เอาเข้าจริงแล้ว รัฐบาลชุดนี้เป็นเพียงรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ ที่ไม่ได้มีวาระเป้าหมายทางนโยบายที่จะขับเคลื่อนร่วมกัน เป็นการรวมการเฉพาะกิจเพื่อแบ่งปันอำนาจกัน แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ชั่วคราว
.
เราจึงเห็นการจัดตั้ง ครม. แบบผิดฝาผิดตัวเต็มไปหมด เพราะไม่ได้แบ่งงานกันตามวาระเป้าหมาย แต่แบ่งกันตามโควตาทางการเมือง วางเจ้ากระทรวงไม่ถูกกับงาน พรรคแกนนำรัฐบาลไม่ได้วางคนบริหารกระทรวง กรม หรือหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเรือธงอย่างบูรณาการ
.
เราจึงเห็นการแถลงนโยบายของรัฐบาล การกำหนดแผนงานรายกระทรวง ตลอดจนการจัดสรรงบประมาณอย่างที่ได้กล่าวมา
.
วันนี้จากที่เคยบอกว่า “คิดใหญ่ทำเป็น” บางวันก็กลายเป็น “คิดไปทำไป” “คิดสั้นไม่คิดยาว” หรือไม่ก็ “คิดอย่างทำอย่าง”
.
หากการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้จะมีวาระร่วมกันจริงๆ ตนเห็นว่าคงเป็นวาระเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางอำนาจของชนชั้นนำ เพราะสภาวะการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลชุดนี้ ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่านี่เป็นการรวมตัวกันเพื่อรักษาสภาวะเดิมของสังคมไทยเอาไว้
.
เป็นการรวมตัวกันเพื่อพยายามฝืนทวนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
เป็นการรวมตัวกันเพื่อปกป้องพลังทางสังคมแบบจารีต และต่อต้านพลังทางสังคมใหม่ๆ ที่ต้องการอนาคตที่ดีกว่านี้
.
ชัยธวัชทิ้งท้ายว่า ก่อนการรัฐประหาร 2549 สังคมไทยได้มีโอกาสเห็นความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและดูจะเป็นความหวังแห่งการเปลี่ยนแปลง ผู้นำทางการเมืองในขณะนั้นเล็งเห็นว่า หากประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้ากว่านี้ได้ จำเป็นต้องปฏิรูประบบรัฐราชการ รวมถึงกระบวนการกำหนดนโยบายและระบบงบประมาณ ที่เดิมล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพ
.
เราจึงได้เห็นความพยายามที่จะเปลี่ยนระบบงบประมาณ ที่เดิมงบประมาณส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบราชการในกระทรวงต่างๆ มาเป็นระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล
.
ทว่าหลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา รัฐราชการและชนชั้นนำจารีตได้กลับมาควบคุมสังคมไทยอีกครั้ง เราไม่เห็นเจตจำนงและความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในการปฏิรูปรัฐไทยอย่างจริงจังอีกเลย
.
เพราะพลังทางการเมืองที่เคยเป็นพลังใหม่ เคยเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันกลับเข้าไปร่วมสมาคมเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจเก่าแล้ว
.
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ที่เรากำลังพิจารณาอยู่นี้ ก็สะท้อนสภาวะทางการเมืองที่เป็นจริงดังว่า เราในฐานะฝ่ายค้าน สุดท้ายอยากสื่อสารไปยังรัฐบาล ว่าเราไม่สามารถอยู่กันแบบเดิมๆ ได้อีกแล้ว
.
รัฐบาลทราบดี หลังรัฐประหาร 2 ครั้ง รัฐราชการรวมศูนย์ของไทยกลับมาเติบโตขยายตัว รวมศูนย์มากขึ้น ดูเฉพาะงบรายจ่ายบุคลากรภาครัฐในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แทนที่รัฐจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรากลับมีบุคลากรภาครัฐเพิ่มขึ้นถึง 500,000 คน มีภาระรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรภาครัฐ 40% ของงบรายจ่ายประจำปี
.
เราไม่สามารถเดินไปสู่อนาคตที่ดีกว่านี้ หากไม่พยายามปฏิรูปรัฐไทยและระบบงบประมาณอย่างจริงจัง
.
พวกเราในฐานะฝ่ายค้าน ไม่อยากเห็น พ.ร.บ.งบประมาณที่เหมือนเดิม ที่ไม่เปลี่ยนแปลงแบบนี้อีกในครั้งต่อไป แม้เป็นฝ่ายค้าน เราพร้อมสนับสนุนรัฐบาลในการปฏิรูประบบราชการและระบบงบประมาณ เพราะเรื่องนี้สำคัญต่อการสร้างอนาคตร่วมกันของพวกเรา
.
3 วันต่อจากนี้ พวกเราฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎรอย่างสร้างสรรค์และซื่อตรงต่อผลประโยชน์ของประชาชน ขอให้ฝ่ายบริหารเปิดใจรับฟังข้อวิจารณ์และข้อเสนอแนะ โดยหวังว่าการพิจารณางบประมาณของสภา จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด
.
แม้เราจะผิดหวังกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ฉบับนี้ อย่างถึงที่สุดก็ตาม
.
ที่มา : เพจพรรคก้าวไกล
Facebook Comments